แสงสีแดงที่เพิ่มขึ้นและอ้อยอิ่งอยู่บนหอคอยอสูรฟ้า แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีไฟสีฟ้าจางๆ อยู่ที่ชั้นแรกชั้นสองและชั้นสามมันเปรียบได้ดั่งตัวแทนของจำนวนผู้เข้าร่วมในการทดสอบ อย่างไรก็ตามตั้งแต่การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นจนมาถึงในขณะนี้ในชั้นที่ 4 ก็ยังไม่มีแสงไฟสีฟ้าปรากฏขึ้น
จึงหมายความว่ายังไม่มีใครที่สามารถก้าวไปถึงชั้น 4 ได้ ณ พื้นที่ด้านนอกหอคอยฯมีผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณและผู้อาวุโสจากตะกลูเจี่ยเริ่มที่จะขมวดคิ้วแน่น
” นี่! อาจมีสิ่งใดเกิดขึ้นในหอคอยได้หรือไม่?”ผู้คนของทั้งสองฝ่ายเริ่มที่จะขาดเดาสถานการณ์กันไปต่างๆนาๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ จึงได้แต่จ้องตากันและมองด้วยความรู้สึกที่ขมขื่นและความเกลียดชั่งที่ลึกซึ่งถึงกระดูกดำและถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกลับกลุ่มหนุ่มสาวของพวกเขา พวกเขาจะไม่ให้อภัยมันอย่างแน่นอน
“เฮ่ ดูมีคนได้ก้าวขึ้นไปที่ชั้นที่ 4 .”ทันใดนั้นได้มีคนตะโกนเสียงดังออกมา แม้ว่าจะมีเสียงตะโกนดังออกมาแต่พวกเขาทุกคนก็ยังไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆมากจนเกินไปแต่พวกเขาได้อย่างรวดเร็วได้กวาดสายตาและจับจ้องไปยังชั้นที่ 4
หลังจากที่ได้เห็นว่าแสงไฟสีฟ้าปรากฏผู้อาวุโสจากสองอำนาจก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย แรงดันวิญญาณในหอคอยอสูรฟ้านั้น เป็นที่รุนแรงอย่างมากพวกเขานั้นคิดว่าเหล่าเด็กๆของพวกเขาจะไม่สามารถที่จะก้าวเข้าไปสู่ชั้นที่ 4 ได้
และแน่นอนว่ามันจะทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลกแต่ตอนนี้ได้มีคนเก้าเข้าไปสู่ชั้นที่ 4 แล้วมันจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะโล่งใจ แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นใคร เพราะเท่าที่เห็นนั้นมีเพียงคนเดียวที่ได้ก้าวเข้าไปสู่ชั้นที่ 4 มันจะเป็น ‘โก่โบ๋’ จากนิกายโลกวิญญาณหรือ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ จากตะกลูเจี่ยกันแน่
นี่จึงเป็นคำถามที่ใหญ่ที่สุดในใจของพวกเขาในตอนนี้
“เฮ่ ดูยังมีคนอื่นขึ้นไปอีก! “ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนเสียงดังออกมาอีกครั้ง แท้จริงในตอนนี้ได้มีแสงไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นในชั้นที่ 4 แทบจะในทันทีไม่ว่าจะเป็นคนของตะกลูเจี่ย หรือ คนของนิกายโลกวิญญาณพวกเขาทั้งหมดได้ชื่นชมและยินดีในขณะนี้ แม้แต่ใบหน้าของทั้ง 6 ผู้อาวุโสก็ยังแสดงออกถึงความสุขเล็กน้อย
ภายในการสอบมีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้นที่สามารถก้าวขึ้นไปบนชั้นที่ 4 ได้ หนึ่งคือ ‘โก่โบ๋’ และ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ ในขณะมีแสงไฟสีฟ้าปรากฏพวกเขาตามธรรมชาติต้องคิดว่าเป็นสองคนนี้นี้แสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้ามันเป็นคนรุ่นใหม่จากนิกายโลกวิญญาณหรือคนรุ่นใหม่จากตะกลู เจี่ย ทั้งสองได้ก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 4 อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาไม่เสียหน้าใด ๆ
และพวกเขาก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทั้งสองด้านได้อย่างสบายใจ
” โอ้วสวรรค์! ยังมีอีกคนหนึ่งที่ขึ้นไป! “แต่เพียงในเวลานั้นมีคนตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงในชั้นที่ 4 ยังมีแสงไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นอีกหนึ่ง ในทันที่ทุกคนของตะกลู เจี่ย และ นิกายโลกวิญญาณถึงกลับตาสว่างขึ้นมาทันที
“ยังมีอีกคนที่ขึ้นไป? เขาเป็นใครกัน?”ไม่ว่าจะเป็นสามผู้อาวุโสจากตะกลู เจี่ย หรือ สามผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณได้พยายามเริ่มที่จะเดาว่าบุคคลที่ 3 นั้นคือใคร เพราะในความคิดของพวกเขามีเพียงแค่ ‘โก่โบ๋’ และ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ เท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 4 ได้ในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ในปีนี้ อย่างแท้จริงพวกเขาไม่สามารถที่จะคิดได้ว่าบุคคลที่ 3 นั้นคือผู้ใด
“ไอ่เด็กเหลือขอนี่เจ้ากล้าที่จะขึ้นมาจริงๆรึเนี่ย.”ในเวลาเดียวกันในชั้นที่ 4 ในหอคอยอสูรฟ้า ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ กำลังเผชิญหน้ากลับ ‘ชูเฟิง’ และ ‘โก่ โบ๋’ ในทันทีมันราวกับว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่สมบูรณ์แบบพร้อมกลิ่นอายของเขาที่ปล่อยออกมานั้นชั่งเป็นกลิ่นอายที่แตกต่างจากตอนที่อยู่ในชั้นที่ 3 กลิ่นอายระดับ 7 แดนกำเนิดวิญญาณได้ถูกแสดงออกมา พลังแหล่งกำเนิดวิญญาณได้เอ้อระเหยออกมาจากรอบๆ ตัวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่อากาศยังถูกบดจนเกิดเสียงอู้อี้
“ข้าคิดว่ามันคงเป็นสถานการณ์ที่เจ้าไม่ได้คาดคิดเอาไว้สินะ มันไม่ใช่ว่าข้าขึ้นมาแล้วเจ้าต้องหนีรึใง อะไร? รึว่าตอนนี้เจ้าไม่ได้คิดที่จะหลบหนี? หรือ ว่าเจ้าไม่มีปัญญาที่จะก้าวขึ้นไปที่ชั้น 5 ได้ใช่ไหม? ”‘ชูเฟิง’กล่าวและยิ้มอย่างเย้ยหยัน
” ไอ้สารเลว หุบปากเน่าๆของเจ้าซะ.”‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ ยังไม่ได้เลือกที่จะโจมตี’ชูเฟิง’โดยตรง แต่ได้จับตามองไปที่ ‘โก่โบ๋’ แม้ว่าพลังวิญญาณของเขาจะไม่ถูกจำกัด แต่หลังจากที่มาชั้นสี่ ‘โก่โบ๋’ก็เช่นเดียวกัน
“ โก่โบ๋ นี่เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากลับไอ่เจ้าเด็กเหลือขอนี่ เจ้าอย่าได้เข้ามายุ่ง ? ”
“ เจี่ย ปู๋ฝ่าน น้องชูเฟิงนั้นเป็นสหายกลับนิกายโลกวิญญาณของข้า ถ้าเจ้าต้องการที่จะจัดการเขา ก็เท่ากลับว่าเจ้าต้องการที่จะจัดการข้าด้วยเช่นกัน “‘โก่โบ๋’ กล่าวและยิ้มเบาๆ
“ นี่ไม่ได้เป็นเพียงความแค้นส่วนตัว แต่มันเป็นความแค้นระหว่างนิกายโลกวิญญาณของข้ากับตะกลูเจี่ยของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะงอมืองอเท้าและยืนดูอยู่เฉยๆรึใง”
“ เจ้า…..”‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’โกรธเป็นอย่างมาก เพราะเขายังคงมีความเชื่อมั่นบางอย่างว่าเขาจะต้องจัดการกลับ’ชูเฟิง’ให้ได้ แต่ถ้าเกิด ‘โก่โบ๋’นั้นยื่นมือเข้ามายุ่งด้วยแล้วล่ะก็ เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“ พี่ชายโก่โบ๋ ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาช่วยข้า เพราะข้าอยากจะเห็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็น อัจฉริยะของตะกลูเจี่ยนั้นจะมีความสามารถมากสักแค่ไหนกัน.”‘ชูเฟิง’ได้โบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ ‘โก่โบ๋’ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ามาช่วย หลังจากนั้นเขาก็กำฝ่ามือของเขาและปรากฏหอกสีทองออกมาอยู่ในมือของเขา เขาก็กระโดดเข้าไปประจันหน้ากลับ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’โดยตรง
“ เหอะ!! กล้าดีนิ”เห็นว่า’ชูเฟิง’ได้กระโดดเข้ามาโจมตีเขาโดยตรง ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’จึงไม่ได้หลีกเหลี่ยงหรือหลบมัน เพียงแค่พริบตาแสงจากถุงจักรวาลที่อยู่ตรงเอวของเขาก็ได้มีดาบยาวสีฟ้าปรากฏอยู่ในมือของเขา มันเป็นดาบที่สวยงามราวกับ ว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็งคริสตัลยังไงยังงั้น
มันมีความกระจ่างใสเป็นประกายและโปล่งแสง แต่มันก็ได้ปล่อยความรู้สึกออกมาว่ามันไม่สามารถที่จะทำให้หักได้ง่ายๆ และยังได้มีไอลมละเหยออกมารอบๆตัวของดาบ มันให้ความรู้สึกที่เย็นเจาะกระดูก มันเป็นอาวุธพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดย แร่หยกเย็น, ดาบที่ถูกสร้างจากแร่หยกเย็น จะมีอนุภาพร้ายกว่า ดาบที่ถูกสร้างจากแร่ทองคำดำซะอีก
“หวืบหวืบ”
ดาบนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติและเทคนิคเพลงดาบของ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ก็ถือได้ว่าน่าประทับใจเช่นกัน เขาได้ใช้ทักษะการต่อสู้ ระดับ 5 ทำให้ทิศทางคมดาบนั้นหายไป แต่กลับปรากฏทิศทางของคมดาบแบบสุ่ม เมื่อดาบเยือกแข็งอยู่ในมือของเขานั้นเป็นจริงที่แข็งแกร่งและได้สำแดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดขณะโจมตีไปที่’ชูเฟิง’
“หวืบ หวืบ”
อย่างไรก็ตาม ‘ชู เฟิง’ ก็ไม่ได้รับการโจมตีนั้นตรงๆ ก่อนไอเย็นจะมาถึงตัว เขาก็ใช้หอกปัดการโจมตีออกไปอย่างรวดเร็วจนมีรูปร่างเป็นมังกรทอง การโจมตีที่รุนแรงเกิดเป็นเกลียวคลื่นพายุหมุน ยิ่งกว่าพลังโจมตีของ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’
“เช๊ง เช๊ง เช๊ง เช๊ง”
ทั้งสองคนต่อสู้กันโดยที่ไม่ป้องกันใดๆ สิ่งที่พวกเขาใช้คือการโจมตีที่รุ่นแรงที่สุดและภายใต้สถานการณ์นี้’ชูเฟิง’นั้นค่อนข้างที่จะได้เปรียบ เพราะส่วนใหญ่ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’ได้โดนหอกสีทองของ’ชูเฟิง’แทงเข้าเป็นจำนวนหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงไร้ประโยชน์
เพราะ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’นั้นมีรูปแบบจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งคอยปกป้องรางกายของเขาและรูปแบบจิตวิญญาณชนิดนี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากสมบัติมันจึงเป็นสาเหตุที่การโจมตีของชูเฟิงนั้นไม่สามารถทำอันตรายต่อเขาได้ดูจากภาพรวม ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ถือไพ่เหนือกว่าเขา เพราะเขาไม่ต้องกลัวการโจมตีของ ‘ชูเฟิง’
อีกทั้งเขายังสามารถโจมตี’ชูเฟิง’กับได้ ตราบใดที่’ชูเฟิง’หาทางโจมตีให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่ได้ ‘ชูเฟิง’ ก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ถ้าหากเขาโจมตีโดน’ชูเฟิง’ ‘ชูเฟิง’ก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“ไอ่เด็กเหลือขอสารเลวเจ้ากล้าที่จะทำลายกฎของการทดสอบในครั้งนี้และยังบังคับให้ ตะกลู เจี่ย ของฉันออกไป แม้ว่าเจ้าจะออกจากหอคอยนี้เจ้าจะต้องได้เจอกลับปัญหาในการหลบหนีจากความตายเพราะฉะนั้น ข้า เจี่ย ปู๋ฝ่านจะส่งเจ้าไปสู่ความตายให้เองในตอนนี้”การโจมตีของ ‘เจี่ย ปู๋ฝ่าน’เริ่มที่จะรุนแรงมากขึ้นและดาบเยือกแข็งในมือของเขาก็เป็นอุปสรรคมากขึ้นนอกจากนี้เขายังใช้ร่างกายทักษะการต่อสู้ลึกลับดังนั้นเขาจึงไม่ได้ด่อยกว่าชูเฟิงในเรื่องของความเร็ว หลังจากที่เขาเสียเปรียบก่อนหน้านี้ ตอนนี้กับยิ่งหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก . . . . . . .
ผู้แปล โดย#นายกระทิข้น
บางวันก็ท้อ. . . . . . . . . .
บางวันก็ส้ม บางวันก็แอปเปิ้ล
บางวันก็ . . . . . . . . .
ที่มา: