Martial God Asura ตอนที่ 196 – สู่จุดสูงสุด

Martial God Asura ตอนที่ 196 – สู่จุดสูงสุด

“ยอดยุทธภัณฑ์เช่นนี้ ยังมีอีกหรือไม่ในดินแดนนี้”
‘ชูเฟิง’รู้สึกชื่นชมความแข็งแกร่งของเกราะหนาม ที่เขาต้องใช้เทคนิคลับอย่างพยัฆค์ขาวพิฆาต เพื่อทำลายมัน มันอาจเป็นยอดอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ยากต่อการรับมือ
“ยอดอาวุธเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียว และมันเป็นสมบัติของตระกูลเจี่ย”
“เจี่ยปู้ฟานนั้นมีอำนาจพลังวิญญาณไม่สูงมาก เขาจึงทำได้เพียงใช้เกราะหนามเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ว่า….หากเกราะหนามนี้ถูกใช้โดยพี่ชายของเขา มันไม่เพียงแต่เป็นเกราะป้องกัน แต่มันยังสามารถเป็นอาวุธสังหารที่ทรงพลัง”
“พี่ชายของเจี่ยปู้ฟานเป็นคนที่น่าเกรงขาม อีกทั้งเขายังถูกหมายตัวเป็นหัวหน้าตระกูลเจี่ยในอนาคต พลังของเขาน้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับแก่นวิญญาณ คาดว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นแดนสวรรค์ได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แม้แต่ผู้อาวุโสของนิกายโลกวิญญาณก็ยังเกรงกลัวเขาอยู่มาก”
“เพราะเขาเป็นพี่ชายของเจี่ยปู้ฟาน เขาจึงได้ให้ยืมสมบัติที่ล้ำค่าของตระกูลเช่นนี้ ข้าคาดว่าเขาคงรักเจี่ยปู้ฟานเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นสิ่งที่ดี ที่เจ้าไม่ได้ฆ่าเขา”
‘กู๋โบ่’กล่าวเตือน’ชูเฟิง’
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน!!”
ในทันที’ชูเฟิง’ก็รู้ได้ว่า เหตุใด’กู๋โบ่’จึงแสดงความกังวลในขณะที่มองมาทางเขา นั่นเพราะพี่ชายของ’เจี่ยปู้ฟาน’นั้นมีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลที่เจ้าทำเช่นนั้น ก็เพื่อปกป้องพวกเรา อย่างไรก็ตาม นิกายโลกวิญญาณจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้า”
‘กู๋โบ่’กล่าวสาบานด้วยท่าทีที่เคร่งคัด
“หึ………”
‘ชูเฟิง’ไม่ได้กล่าวตอบไป เขาเพียงแค่ยิ้มรับอย่างราบเรียบ พวกเขายังคงเดินต่อไป ทางเดินของชั้นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากชั้นอื่นๆ ที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงดันวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากที่พวกเขาผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยแรงดันวิญญาณ และเข้าสู้พื้นที่ของชั้นถัดมาอย่างแท้จริงนั้น พลันใบหน้าของ’กู๋โบ่’เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก
“พี่ชายกู๋โบ่ ท่านยังไหวมั้ย !?”
เมื่อเห็นดังนั้น ‘ชูเฟิง’จึงเข้าไปประคองกู๋โบ่ทันที
“น้องชายชูเฟิง เจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก เจ้ายังดูสบายๆ แม้จะอยู่ภายใต้แรงดันวิญญาณของชั้นนี้อยู่เลย”
‘กู๋โบ่’ระบายลมหายใจออกก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่’ชูเฟิง’ที่ยังคงมีใบหน้าที่ปกติ ช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกทึ่ง เขาทำได้เพียงส่ายศรีษะและถอนหายใจด้วยความชื่นชม พร้อมทั้งกล่าวขึ้นว่า
“น้องชายชูเฟิง ความสามารถของข้ามีจำกัด และในชั้นที่ 5 นี่ คือขีดจำกัดของข้าแล้ว ข้าไม่สามารถไปกับเจ้าได้อีก”
“พี่ชายกู๋โบ่ ดูแลตัวเองด้วย”
‘ชูเฟิง’กล่าวเพียงสั้นๆ หลังจากที่เขาประคอง’กู๋โบ่’ให้นั่งลงแล้วนั้น เขาก็ก้าวตรงไปยังชั้นที่ 6
“น้องชายชูเฟิง ในความเป็นจริงแล้วนั้น บุคคลที่สามารถมาถึงยังชั้นที่ 5 ได้นั้น มีแทบนับไม่ถ้วน แต่ในรอบร้อยปีมานี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดที่สามารถไปสู่ชั้นที่ 6 ได้เลยแม้แต่คนเดียว”
“ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงแรงดันวิญญาณในชั้นที่ 6 อีก อุปสรรค์ต่างๆ บนชั้นที่ 6 นั้น ดูราวกับว่ามันยากจนไม่สามรถจะก้าวไปถึงได้ เพราะจากการที่มีผู้อาวุโสหลายที่ต้องสูญบางสิ่ง และบางคนก็เสียชีวิตลงหลังจากพวกเขาพยายามขึ้นไปยังชั้นที่ 6”
“พลังวิญญาณของเจ้านั่นแข็งแกร่งมาก เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ และได้เป็นบุคคลแรกในรอบร้อยปี ที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่หกได้”
ใบหน้าของ’กู๋โบ่’เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะ’ชูเฟิง’เป็นคนที่เขาสามารถฝากความหวังไว้ได้
“พี่ชายกู๋โบ่ ท่านไม่ต้องกังวลใดๆ ข้าจะทำจนสุดความสามารถของข้า แต่ข้าจะไม่ฝืนตัวข้าเอง”
‘ชูเฟิง’ยิ้มขึ้น พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปยังทิศทางสู่ชั้นที่ 6
“มีคนเข้าสู่ชั้น 5 ได้สองคน ทั้งคู่ต้องเป็นกู๋โบ่ และเจี่ยปู้ฟานแน่นอน”
ที่ด้านนอกของหอคอยก็เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมยินดี
ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเจี่ย หรือคนของนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาล้วนมีความสุข เพราะเปลวไฟสีน้ำเงินอ่อนๆสองดวง บ่งบอกได้ว่ามีบุคคลเข้าสู่พื้นที่ของชั้น 5 ด้วยกัน 2 คน และพวกเขาต่างคิดว่าต้องเป็นอัจฉริยะของพวกเขา นั่นคือ ‘กู๋โบ่’ และ’เจี่ยปู้ฟาน’
“ดูนั่นมีคนหายไป !! เขาไปไหน !? เขาอาจจะกลับไปที่ชั้น 4 เพราะทนแรงดันวิญญาณของชั้น 5 ไม่ไหว”
“ไม่ใช่ !! ทิศทางที่เขากำลังไป…นั่นมันทางไปสู่ชั้นที่ 6 !! มีคนกำลังจะท้าทายชั้นที่ 6 !!”
“สวรรค์ !! มีคนกล้าท้าทายชั่นที่ 6 มันเป็นไปได้อย่างไร ในรอบร้อยปียังไม่มีใครสามารถขึ้นไปได้เลย !!”
“เขาเป็นใคร เจี่ยปู้ฟาน หรือว่า กู๋โบ่ !?”
ในขณะนั้น ทั่วบริเวณมีแต่เสียงตะโกนของฝูงชนด้วยความตกใจ ของทั้งสองฝ่าย แม้แต่หกผู้อาวุโสก็ต่างจับจ้องไปที่ชั้น 6 อย่สงไม่วางตา
ฉับพลันนั้น มีเสียงตะโกนบอกให้เงียบดังขึ้นมา ทุกคนในลานกว้างต่างเข้าสู่ความสงบ เปลวไฟน้ำเงินจางๆ ได้หายไป นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้กลับลงมา เขายังคงมุ่งหน้าต่อไป
ในเวลานั้น ทุกคนแทบหยุดหายใจ มันช่างเงียบสงบ ได้ยินเพียงแต่เสียงการเต้นของหัวใจ การหายใจของพวกเขาเริ่มตึงเครียด สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองไปยังชั้น 6
พวกเขาต่างมองขึ้นไป พวกเขามองหาคนที่สามารถขึ้นไปถึงชั้น 6 ของหอคอย เพราะเมื่อร้อยปีก่อน หลังจากอัจฉริยะทั้งสองของตระกูลเจี่ย และนิกายโลกวิญญาณเข้าสู่ชั้นที่ 6 ก็ไม่มีใครขึ้นไปได้อีก
เพราะชั้นที่ 6 เป็นดั่งตำนาน และเป็นตำนานที่ไม่เคยถูกทำลายมากว่าร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเจี่ย หรือคนของนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาต่างหวังว่าจะมีใครสักคนทำลายตำนานนี้ลงได้
“ดูนั่น !! ไฟสีฟ้า ไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ชั้น 6 เขาทำได้แล้ว !! เขาก้าวเข้าสู่พื้นที่ของชั้นที่ 6 แล้ว !!”
เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น มือและเท้าของพวกเขาต่างสั่นระรัว
“สวรรค์ !! เขาทำสำเร็จ มีคนขึ้นสู่ด้านบนสุดได้แล้ว”
“ใครเป็นคนที่ทำสำเร็จ !? เป็นกู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณของข้า หรือจะเป็นเจี่ยปู้ฟานจากตระกูลเจี่ย !!”
ในชั่วเวลานั้น ทั่วทั้งลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงตะโกนด้วยความยินดี พวกเขาตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนจากทั้งสองกลุ่มที่ไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน กลับโผเข้าโอบกอดกันด้วยความปราบปลื้ม
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหกของนิกายโลกวิญญาณ ร่างกายของพวกเขาต่างสั่นสะท้าน ความสุขมากมายประดังขึ้นมาจนใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถแสดงออกมาได้หมด
“ร้อยปี….หลังจากผ่านมาร้อยปี ในที่สุดก็มีวันนี้อีกครั้ง”
ผู้อาวุโสของนิกายโลกวิญญาณ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพราะนี่แสดงถึงการถือกำเนิดของยอดอัจฉริยะ ถ้าเขาสามารถเข้าสู่หอคอยชั้นที่ 6 ได้ นั่นยอมแปลว่าพวกเขาจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีการบ่มเพาะพลังระดับสูง แต่เขาย่อมต้องมีเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ดีเลิศอย่างแน่นอน
“พี่หลี่ ท่านคิดว่าใครสามารถเข้าสู่ชั้นที่ 6 ได้กัน จะเป็น กู๋โบ่ จากนิกายโลกวิญญาณ หรือ เจี่ยปู้ฟาน จากตระกูลเจี่ยของข้า”
“โฮ่ๆ…….ไม่ว่าจะเป็นใคร นั่นก็หมายความว่า ได้มีสุดยอดอัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในเหล่าผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณแล้ว นี่เป็นเรื่องดีสำหรับอาณาจักรจิตวิญญาณ”
ผู้เฒ่า’หลี่’จากนิกายโลกวิญญาณยิ้มพร้อมทั้งกล่าวตอบ
“แน่นอน มันเป็นเรื่องดีสำหรับอาณาจักรจิตวิญญาณ แต่มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนิกายโลกวิญญาณของพี่ ที่พี่จะสามารถยิ้มออกมาได้”
“เจ้าหมายถึงอะไร !?”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น สามผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“แน่นอนว่าคนที่สามารถขึ้นไปยังชั้นบนสุดได้นั้น ย่อมไม่ใช่กู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณ แต่เป็นเจี่ยปู้ฟานจากตระกูลของข้า”
เขากล่าวขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าออกมาด้วยความมั่นใจ
“อืม……..เจี่ยปู้ฟานเป็นคนที่จองหองอวดดี แต่ในด้านฝีมือก็ถือว่าไม่เลว แต่กู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณของข้า ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนัก แล้วเจ้าจะสรุปได้อย่างไรว่าเป็นผู้ใด ?”
ผู้เฒ่า’หลี่’สูดหายเข้าด้วยความพอใจ
“ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน !? ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่เจี่ยปู้ฟานใช้สมบัติล้ำค่าของตระกูล เกราะหนามน่ะรึ !!”
ชายแก่ยิ้มและกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“อะไรนะ !! เจี่ยปู้ฟานใช้เกราะหนามอย่างนั้นรึ !?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเหล่าผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณต่างประหลาดใจ พร้อมทั่งแสดงสีหน้าของความผิดหวังออกมาอย่างเด่นชัด
เกราะหนามคืออาวุธชั้นยอด มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อกันมาของบรรพบุรุษตระกูลเจี่ย เนื่องจากเกราะหนามเป็นอาวุธชั้นยอด มันจึงมีความสามารถไม่สิ้นสุด มันอาจจะลดแรงกดดันวิญญาณที่ส่งมาถึงตัวเจี่ยปู้ฟาน ที่จะสามารถเข้าสู่ชั้น 6 ก็เป็นได้ แต่สำหรับนิกายโลกวิญญาณนั้น ไม่ได้มีอาวุธชั้นยอดเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สองอัจฉริยะที่กำลังถูกโต้เถียงถึงอยู่ว่า หนึ่งในนั้นคือบุคคลที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่ 6 ได้ แต่กลับเป็น’ชูเฟิง’ที่สามารถขึ้นมาถึง ในขณะนั้น เขากำลังนั่งไขว้ขาพลางยิ้ม ขณะมองดูเมล็ดของผมจิตวิญญาณกำลังเปลี่ยนแปลง
เมล็ดของผลจิตวิญญาณนั้น ต้องได้รับแรงกดดันวิญญาณจึงจะเจริญเติบโต แม้มันจัเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละชั้น แต่มันก็จำเป็นต้องเวลาอยู่มาก แต่ในขณะนี้สามเมล็ดในมือของ’ชูเฟิง’ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มันแตกกิ่งก้านและแตกใบ พร้อมทั้งผลิดอกไม้ออกมาเบ่งบาน เหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะว่า ‘ชูเฟิง’ได้อยู่บนชั้นที่ 6 ของหอคอยอสูรฟ้านั่นเอง
ผู้แปล โดยคุณ#
เอ้าตีกันโลดดดดดดด. . . . . . . . ,
สนุกล่ะ งานนี้
ที่มา: