Martial God Asura ตอนที่ 201 – ปกป้อง



Martial God Asura ตอนที่ 201 – ปกป้อง

“นั่น !! เขาคือชูเฟิง”
“เขาทำได้อย่างไรจึงสามารถขึ้นไปยังชั้นที่ 6 ได้กัน!!”
มีเสียงพูดคุยดังระงมไปทั่วบริเวณ ในขณะนั้น ‘ชูเฟิง’ถือได้ว่าเขากลายเป็นตำนานไปแล้ว เนื่องจากในรอบร้อยปีที้ผ่านมานั้น เขาคือคนแรกที่สามารถขึ้นไปยังชั้นที่ 6 ได้ เขาจึงกลายเป็นตัวอย่างที่ดีของใครหลายๆ คน
แม้ว่าในปัจจุบัน’ชูเฟิง’ยังคงอ่อนแออย่างมาก แต่ด้วยพรสวรรค์ของเขานั้น จึงถูกกำหนดให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญในภายภาคหน้าแล้ว เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าที่อ่อนวัยของ’ชูเฟิง’ พวกเขายิ่งตื่นตกใจกันขึ้นไปอีก เพราะด้วยวัยเพียงเท่านี้ แต่’ชูเฟิง’สามารถทำได้ถึงเพียงนี้ แล้วถ้าในภายภาคหน้านั้น ความสำเร็จของเขายิ่งยากที่จะคาดเดาได้ ความตื่นตะลึงและความชื่นชมเหล่านี้ ได้สถิตย์อยู่ภายในก้นบึ้งของหัวใจของหลายๆ คน
*****หึหึ*****
ในขณะนั้น ภายในกลุ่มฝูงชนนั้น ก็ปรากฏกลุ่มคนจากตระกูลเจี่ย ที่นำโดยผู้อาวุโสทั้งสาม พุ่งตรงมายัง’ชูเฟิง’
ที่ด้านหลังของผู้อาวุโสทั้งสามนั้น มี ‘เจี่ยเฮง’ ‘เจี่ยกัง’ และคนอื่นๆที่ถูกชูเฟิงซ้อมติดตามมา ออร่าพลังของพวกเขาดูอ่อนแอลง และเมื่อสังเกตดูดีๆ จะพบร่องรอยฟกช้ำบนร่างกายของพวกเขา
“เจี่ยเฮง !! เจี่ยกัง !! ใครเป็นผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้าภายในหอคอยอสูรฟ้านั่น !?”
ผู้อาวุโสจากตระกูลเจี่ยหยุดอยู่ด้านหน้าของ’ชูเฟิง’และถามขึ้น
“ผู้อาวุโส คนที่ทำร้ายแบะขัดขวางพวกเราคือชูเฟิง”
‘เจี่ยเฮง’กล่าวตอบพร้อมทั้งจ้องมองไปที่’ชูเฟิง’ด้วยความอาฆาต
“จับมัน !!”
ผู้อาวุโสจากตระกูลเจี่ยตะโกนสั่งทันที จากนั้นเหล่าผู้เชี่ยวชาญระดับแก่นแท้วิญญาณด้านหลังเขา ก็ทะยานตัวตรงไปที่’ชูเฟิง’ พร้อมทั้งส่งพลังแรงกดดันหมายจะบดขยี้’ชูเฟิง’
แรงกดดันมหาศาลปรากฏขึ้น มันราวกับภูเขาลูกย่อมพุ่งกดทับมาที่ชูเฟิง แม้แต่’ชูเฟิง’ยังต้องขมวดคิ้วแน่น
“ชูเฟิง !! ข้าจะให้เจ้ายืมพลังของข้า !!”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ‘ต้านต้าน’ จึงจะให้’ชูเฟิง’ใช้พลังของนาง เพื่อที่จะโจมตีเปิดทางฝ่าวงล้อมออกไปได้
“ไม่จำเป็น !!”
‘ชูเฟิง’กล่าวปฏิเสธทันที เขาไม่ได้โจมตีกลับหรือหลบหลีกแต่อย่างใด เขายังคงยืนรอรับการโจมตีของตระกูลเจี่ยอยู่อย่างสงบ
ในตอนแรกนั้น ‘ต้านต้าน’ ไม่เข้าใจถึงการกระทำของ’ชูเฟิง’ แต่ด้วยความที่นางอยู่กับ’ชูเฟิง’มาเป็นเวลานานนั้น นางจึงมีความเชื่อมั่นต่อ’ชูเฟิง’อย่างถ่องแท้
***** อ๊ากกกก !!*****
ในขณะนั้น มีพลังออร่าสีทองเขามากวาดเหล่าผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจี่ยกระเด็นออกไป พวกเขากระเด็นไปราวกับว่าวขาดป่านด้วยแรงลมมหาศาล
ในเวลาเดียวกันนั้น ได้มีสามผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณ มาปรากฏตัวที่ด้านหน้าของชูเฟิงอย่างสงบนิ่ง ที่ด้านหน้าสุดนั้นคือ ผู้อาวุโสหลี่
“ผู้อาวุโสหลี่ !! นี่เป็นความแค้นระหว่างตระกูลเจี่ยกับไอ้เด็กนี่ !! ท่านอย่าได้เข้ามาก้าวก่าย !!”
เมื่อเห็นการกระทำเช่นนั้น ผู้อาวุโสของตระกูลเจี่ยตะโกนออกมาอย่างไม่มีการไว้หน้าใดๆ ทั้งสิ้น
“ไร้สาระ !! ที่นี่อยู่ภายใต้แอาณาเขตของนิกายโลกวิญญาณ แล้วไม่ใช่พวกเจ้าตระกูลเจี่ยรึ ที่กระทำการต่ำช้าขึ้นก่อน !?”
ผู้อาวุโสหลี่ สะบัดมือของเขาออก ฉับพลันนั้น รอบๆ ลานกว้างได้มีกลุ่มคนนับพันเข่ามาล้อมรอบตระกูลเจี่ยไว้
“ผู้อาวุโสหลี่ ท่านยังสติดีอยู่รึเปล่า !! สำหรับคนนอกนั้น หากท่านยื่นมือเข้ามา จะกลายเป็นท่านที่ละเมิดสนธิสัญญาพันธมิตร และเป็นการทำลายมิตรภาพอันดีระหว่างตระกูลเจี่ยของข้า กับนิกายโลกวิญญาณของท่าน ท่านจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ไหวรึ !!”
ผู้อาวุโสตระกูลเจี่ยกล่าวถาม
“หืมมมม !? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าพวกเจ้ากระทำสิ่งใดภายในหอคอยอสูรฟ้า !! ถ้าจะให้ถูกต้อง พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายทำลายสนธิสัญญาพันธมิตร !!”
“วันนี้ !! ข้าจะขอให้คำสัตย์ไว้ ณ ที่แห่งนี้ ชูเฟิงได้รับการคุ้มครองโดยนิกายโลกวิญญาณของข้า หากผู้ใดทำร้ายเขา ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน !!”
ผู้อาวุโสหลี่ กวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ เสียงของเขายิ่งทรงพลังขึ้น
“ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสหลี่ มาดูกันว่าท่านจะแบกรับความรับผิดชอบนี้เช่นไร !!”
แม้ว่าตระกูลเจี่ยจะโกรธเคืองมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก พวกเขาเพียงหันหลังกลับและนำกองกำลังออกไป ที่นี่เป็นอาณาเขตของนิกายโลกวิญญาณ มันไม่สมควรที่จะกระทำการอันใดภายใต้อาณาเขตนี่
“ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าตระกูลเจี่ยจะไร้ซึ่งคุณธรรม แต่นิกายโลกวิญญาณของข้านั้นจะเป็นฝ่ายสอนมันให้แก่พวกเจ้าเอง”
ผู้อาวุโสหลี่ ยังคงกล่าวทิ้งท้ายไว้
หลังจากตระกูลเจี่ยจากไป การทดสอบเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดคลุมสีขาวก็ได้ปิดฉากลง สำหรับ’ชูเฟิง’ที่เป็นจุดเด่นในการทดสอบครั้งนี้ เขาได้รับคำเชื้อเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเขา จากนิกายโลกวิญญาณในพระราชวัง และบุคคลที่ส่งคำเชิญนี้คือสหายของเขา ‘กู๋โบ่’
“พี่ก๋โบ่….”
‘ชูเฟิง’รู้สึกทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่นิกายโลกวิญญาณจะจัดการปัญหาของเขา ที่มีต่อตระกูลเจี่ยให้เท่านั้น แต่พวกเขายังจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นเพื่อเขาอีก ‘ชูเฟิง’จึงรู้สึกประทับใจต่อนิกายโลกวิญญาณอย่างมาก
“น้องชูเฟิง เจ้าไม่ต้องปิดกันตัวเองเช่นนั้น เจ้ามีค่ามากพอที่จะได้รับสิ่งดีๆ จากนิกายโลกวิญญาณของข้า”
‘กู๋โบ่’ กล่าวพลางยิ้มให้’ชูเฟิง’
หลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ ‘ชูเฟิง’ทราบทันทีถึงเจตนาของนิกายโลกวิญญาณ แน่นอนว่าหลังจากที่พวกเขาเห็นถึงความสามารถของ’ชูเฟิง’นั้น พวกเขาต้องการดึงตัวของ’ชูเฟิง’ให้เข้าร่วมกับนิกายโลกวิญญาณ และเขาจะไม่ทิ้งโอกาสที่ดีเช่นนี้ไป
ในตอนนี้ หลังจากที่การสอบสิ้นสุดลง ทุกคนจึงมารวมตัวกันภายในนิกายโลกวิญญาณ แต่ ‘จูเก่อ หลิวหยุน’ นั้นยังคงรออยู่ดานนอก เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตั้งแต่เริ่งการสอบ’ชูเฟิง’จึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้น ว่าอาจารย์ของเขาจะเป็นห่วง เขาจึงกล่าวขึ้นว่า
“พี่กู๋โบ่ ท่านอาจารย์ของข้ายังรออยู่ที่ด้านนอกของนิกายโลกวิญญาณ ข้าต้องการที่จะ…….”
“น้องชูเฟิง เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ในตอนนี้ได้มีคนไปส่งคำเชิญถึงท่านอาจารย์ของเจ้าแล้ว อีกไม่ช้าเจ้าจะได้พบกับท่าน”
‘กู๋โบ่’ กล่าวขณะยิ้ม พลางดึงตัวของ’ชูเฟิง’ให้นั่งลงที่เก้าอี้
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ด้านนอกของนิกายโลวิญญาณ ในเมืองที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเป็นที่พักของคนนอก ‘จูเก่อ หลิวหยุน’ ยังคงยืนรออย่างใจจดใจจ่อที่หน้าประตู
“เจ้าเคยได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ชูเฟิง หรือไม่ ในการทดสอบครั้งนี้ เขาได้ขึ้นไปถึงหอคอยอสูรฟ้าชั้นที่ 6 และกลับออกมาพร้อมกับผลจิตวิญญาณที่สุกงอม”
“ข้าได้ยินมาว่า เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียง 15 ปี การบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ในระดับ 1 ขั้นกำเนิดวิญญาณ ความแข็งแกร่งของเขานั้นช่างน่าประทับใจ ตามข่าวลือ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับ 5 ของขั้นกำเนิดวิญญาณ ก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้”
“ใช้แล้ว เหล่าอัจฉริยะรุ่นใหม่ของตระกูลเจี่ย และ เจี่ยปู้ฟาน ก็ถูกเขาจัดการทั้งหมด”
“ด้วยเหตุที่ว่าสมาขิกของตระกูลเจี่ยนั้น พ่ายแพ้ให้แก่เขา ตระกูลเจี่ยจึงไม่คิดที่จะยกโทษให้กับเขา และจะต้องแก้แค้นเขาให้ได้”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ หลังจากที่เขาได้แสดงความสามารถออกมา เขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเขาจะต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน อีกทั้งนิกายโลกวิญญาณยังให้คำสัตย์ว่าจะปกป้องเขา ในตอนนี้เขาได้รับคำเชิญให้เป็นแขกพิเศษจากนิกายโลกวิญญาณ แม้แต่ตระกูลเจี่ยก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้”
‘จูเก่อ หลิวหยุน’ ที่กำลังยืนรอ’ชูเฟิง’อยู่นั้น เมื่อเขาได้ยินการสนทนาแบบปากต่อปาก ของเหล่าผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดคลุมสีขาวนั้น หัวใจของเขาก็แทบจะโดดออกมาข้างนอก ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปสอบถาม
“สหาย !! ชูเฟิงที่ท่านกล่าวถึงนั้น มาจากอาณาจักรมังกรฟ้าหรือเปล่า !?”
ผู้แปล โดยคุณ#
อาจจะใช้เวลาไปบ้าง แต่เราก็จะพยายามทำผลงานให้ออกมาดี
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 200 – สายตาแห่งความเคารพ

Martial God Asura ตอนที่ 200 – สายตาแห่งความเคารพ

” ฮ่าๆๆ ไอ้หนู เจ้าชื่ออะไร ? “
ในตอนนั้น บุคคลลึกลับทำหน้าทะเล้นขณะที่ชี้นิ้วไปที่ ‘ชูเฟิง’ พร้อมกับสอบถาม
” ชูเฟิง นี้เป็นสัตว์ปีศาจ สัตว์อสูรมหึมา หากจำไม่ได้ ให้ย้อนไปอ่านตอนที่ 61 จากที่เราสำรวจคร่าวๆ พลังวิญญาณของมันช่างลึกล้ำ และยังสามารถใช้อำนาจพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งได้อีกด้วย เทียบได้กับ ผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดม่วง เลยทีเดียว ดังนั้นอย่าได้ประมาท “
ก่อนที่’ชูเฟิง’จะตอบ ‘ต้านต้าน’ ก็พูดขึ้นมาในหัวของเขา นางก็เตือนอย่างจริงจัง
” มันเป็นสัตว์ปีศาจงั้นหรอ ? และยังเทียบได้กับผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณ ? “
‘ชูเฟิง’ตกใจอย่างมาก
” สัตว์ปีศาจ ภายนอกดูเหมือนมนุษย์ แต่ สัตว์อสูรมหึมาทั่วไปจะไร้ซึ่งอำนาจพลังวิญญาณ แต่ยังไงก็แล้วแต่ บางทีสัตว์ปีศาจตัวนี้มีเลือดพิเศษ หรือบางมีอาจจะเผลอไปกินของวิเศษเข้าไป ร่างกายของมันจึงมีอำนาจพลังวิญญาณ ดังนั้น พวกมันจึงกลายเป็น ผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณ ได้เช่นกัน “
” คนที่ใช้รูปแบบอำนาจพลังฯกักขังสัตว์ปีศาจ ที่มีเลือดพิเศษได้  นับว่าเป็นคนที่ฉลาดอย่างมาก เพราะมันยังไม่สามารถใช้รูปแบบการควบคุมอำนาจพลังวิญญาณได้ “
” เห็นนั้นมั๊ย ในการสร้างรูปแบบนั้นเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่ต้องปลดผนึก นั่นเป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก มันจึงถูกขังไว้ที่นี่ หากจะออกไปจากที่นี่มันจะต้องปลดผนึกอักขระเหล่านี้ แต่มันก็มิอาจทำได้!!! “
” ดังนั้นเจ้าจะต้องระวัง ผนึกซับซ้อนขนาดนี้ไม่อาจพบสมบัติได้ง่ายๆ หากเจ้าทำพลาด มันก็จะหลุดออกจากที่นี่ไปได้ “
‘ต้านต้าน’ยังคงเตือน
” เฮ้ยยย!!! ไอ้หนู ทำไมเจ้าถึงไม่พูดล่ะ เจ้าคงจะกลัวข้าสินะ ? ฮ่าๆ…… “
สัตว์ปีศาจยิงฟัน หัวเราะใส่’ชูเฟิง’
‘ชูเฟิง’ไม่สนใจท่าทีของเขา เขายังคงเดินไปรอบๆเป็นวงกลมอย่างระมัดระวัง แล้วก็หันหลังจากไป
แม้ว่าจะมีสมบัติล้ำค่ามากองอยู่ต่อหน้า แต่มันก็ยากที่จะเอาได้ ‘ชูเฟิง’ ตัดสินใจว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรกับเขานัก
อีกอย่างยังมีสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนผนึกมันเอาไว้ ‘ชูเฟิง’ จึงรู้ดีว่าเขาไม่สามารถเอามันไปได้
” นี่ นี่ ไอ้หนู อย่าพึ่งไป !!! อย่าพึ่งไป !!! ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ “
เห็น ‘ชูเฟิง’ พยายามจากไปแบบไม่ใยดี สัตว์ปีศาจก็ตกใจอย่างมาก แต่ยังไง ‘ชูเฟิง’ ก็ยังไม่สนใจเแล้วก็เดินจากไป เพราะว่า ‘ต้าน ต้าน’ เตือนว่า อย่าได้ไปสนใจมัน มันจะหาทางหลอกล่อเขา เพื่อช่วยให้มันหนีออกมา เมื่อมันออกมาได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะทำอันตราย ‘ชูเฟิง’ หรือ ไม่
” เจ้าอยากเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดฟ้าหรือเปล่า แค่ 2 ปี ข้าสามารถทำให้เจ้าเป็นได้ !!! ? “
จู่ๆ คำพูดเหล่านั้นก็ดังขึ้นมจากด้านหลัง
* โหหห *
หลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น ‘ชูเฟิง’ ก็ชะงักทันที เพราะการเป็น ผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดฟ้ามันดึงดูด’ชูเฟิง’อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงถามกลับ
” จะทำให้ข้าเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดฟ้า ภายใน 2 ปี แน่ใจนะว่าเจ้าทำได้  “
” เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร ยังไงบอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าจะไม่พูดอะไรกับเจ้ามาก แต่ ข้ารู้วิธีที่จะทำให้อำนาจพลังวิญญาณของคนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้างการเชื่อมต่อไปยังอำนาจพลังสีฟ้าออร่าสีฟ้า ด้วยระยะเวลาแค่สั้นๆเจ้าก็สามารถได้เป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดฟ้าได้แล้ว ตอนนี้ช่วงโปรโมรชั่น เพราะข้ากำลังจะบอกวิธีนั้นให้กับเจ้า “
สัตว์ปีศาจกล่าว
” เจ้าไม่ได้เป็นญาติหรือสหายของข้า แล้วทำไมจะต้องมาบอกวิธีนั้นให้ด้วย ? นอกจากนี้ ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ? “
‘ชูเฟิง’ ระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้ว่ามันมีสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนอยู่ หากทำอะไรมั่วๆมีหวังมันหลุดออกมาแน่
” ข้าไม่เคยโกหกใครมาก่อน ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ข้าแค่ไม่อยากให้วิธี ของข้าต้องสูญหาย โดยที่ไม่มีผู้สืบทอด “
” แน่นอน ถ้าหากเจ้ากลายเป็นผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณชุดฟ้า ข้าหวังแค่ว่าเจ้าจะมาช่วยข้าออกไป และปลดผนึกสัญลักษณ์บ้าๆพวกนี้ที่ขังข้าไว้ ข้าเพียงต้องการอิสรภาพของข้าคืนก็เท่านั้น “
เห็น’ชูเฟิง’ระวังตัวแจ สัตว์ปีศาจ จึงไม่ได้ตั้งเงื่อนไขใดๆ และบอกเหตุผลที่เขาทำ
” ก็ได้!!! บอกวิธีของท่านมา !!! “
หลังจากทบทวน ‘ชูเฟิง’ ก็พูด
” เจ้าจะทิ้งข้าไป โดยไม่เหลี่ยวแลใช่มั๊ยหลังจากที่ข้าบอกเจ้า ? “
สัตว์ปีศาจทำตาคลอ และพูดอย่างเจ้าเล่ห์
” เจ้ามีทางเลือกอื่นไม๊ล่ะ ? “
‘ชูเฟิง’ยิ้มเบาๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือสุดยอดแห่งความชั่วร้าย แต่ก็ยังแพ้ตัวเป้งอีก 2 ตัวของเขา ที่มีชีวิตมามากกว่า 100 ปี ดังนั้น ‘ชูเฟิง’จึงไม่กลัว
‘ชูเฟิง’ ไม่แสดงความยำเกรงต่อเขาเลย เพราะเขาก็มีค่าพอที่จะแบบนั้น เขาต้องใช้ความได้เปรียบเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามในเรื่องของความรู้สึก เพื่อจะช่วงชิงผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้าม
” ฮ่าๆๆ ไอหนูยอดมาก เจ้านี่ค่อนข้างบ้าใช่ได้ ที่กล้าพูดกับข้าแบบนี้ ข้าละถูกใจเจ้ายิ่งนัก “
ถูกใจก็กดไลค์สิว่ะ
” ด้วยวีธีนี้ เจ้าจะสามารถใช้ของวิเศษเพื่อปรับปรุงอำนาจพลังวิญญาณของเจ้าได้ สำหรับตำแหน่งสถานที่ของสิ่งนั้นข้าสามารถบอกเจ้าได้ แต่หลังจากที่เจ้าได้มันมาแล้ว เจ้าต้องมาช่วยข้า หลังจากที่ข้าออกไปได้ ข้าจะให้เจ้าได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ “
หลังจากพูดจบ สัตว์ปีศาจก็โบกแขนของมันและอำนาจพลังวิญญาณสีม่วงก็ค่อยๆก่อตัวขึ้นหลังจากนั้นก็กลายเป็น แผนที่ โดยเป็นสัญลักษณ์กลางอยู่ด้านหน้าของ ‘ชูเฟิง’ เขาไม่รอช้า รีบจดจำแผนที่ลงไปในหัว
” ผู้เฒ่า ถ้าสิ่งที่ท่านพูดมาเป็นความจริง ข้าสัญญาว่าจะกลับมาช่วยท่าน และตอนนั้นท่านไม่จำเป็นต้องตอบแทนใดๆ ถือว่าเป็นการขอบคุณท่าน “
หลังจากที่รูปแบบแผนที่วาดลงไปในหัวของเขา ‘ชูเฟิง’ ก็ทิ้งทัศนคติที่หยิ่งผยอง พร้อมกับโค้งคำนับต่อสัตว์ปีศาจเพื่อแสดงความเคารพของเขา
” ตั้งแต่เจ้าสามารถเข้ามายังที่นี่ได้ นั้นก็หมายความว่าเจ้ามีความสามารถ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้ “
สัตว์ปีศาจดูเหมือนจะเชื่อ สิ่งที่’ชูเฟิง’พูด
” ผู้เฒ่า ข้าสงสัยมานานแล้ว ว่าจริงๆที่นี่มีสมบัติอะไรซ่อนอยู่ “
หลังจากคิดสักพัก ‘ชูเฟิง’ ก็ถาม
” โอ้วว . . . . . . . มันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าทีเดียว แต่โทษนะข้ายังไม่ได้ดู ดังนั้น จะดีกว่าหากเจ้าไม่คิดเกี่ยวกับมัน มองดูสิ เจ้าก็รู้ว่าสมบัตินี้ไม่ใข่เรื่องง่ายที่เจ้าจะเอาไปได้ “
” หากไม่ใช่คนที่ฉลาดขังข้าไว้ มันคงไม่เตรียมอาหารไว้ให้พอกับข้าถึงสองร้อยปีหรอก ไม่งั้นข้าอาจจะต้องหิวตายไปแล้ว “
สัตว์ปีศาจยิ้มและกล่าวหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ‘ชูเฟิง’ ก็ถึงกับตกใจ เขาตกใจถึงความลึกซึ้งของหอคอยอสูรฟ้า และเขายังชื่นชมต่อความสามารถของคนที่ขังสัตว์ปีศาจ เขาได้เตรียมอาหารที่เพียงพอสำหรับสองร้อยปี แสดงว่าเขาทำนายไว้แล้วว่าเหตุการณ์ในวันนี้จะต้องเกิดขึ้น
หลังจากที่ ‘ชูเฟิง’ รู้เขาก็ไม่ได้เรียกร้องหรือสงสัยใดๆ เขาเดินออกจากหอคอยอสูรฟ้า แต่เมื่อเขาเดินออกมา จากหอคอย เขาก็ถึงกับตกตะลึง เนื่องจากฉากด้านหน้าของเขา’ชูเฟิง’ ย้อนคิดกลับไปในเหตุการณ์ก่อนหน้า ที่จะเกิดขึ้นระหว่างที่จะออกมาจากหอคอยอสูรฟ้า
เขาคิดว่าคนอื่นจะมองเขาเท่านั้น แต่คงไม่สนใจ และยิ่งกว่านั้น ตระกูลเจี่ยก็คงจะมาเอาเรื่องกับเขา เมื่อเห็นเขาออกมา ทีแรกเขาคิดว่าจะเจอฉาก ชักดาบ ง้างคันธนูมาทีเขาซะอีก และยังคิดไปอีกว่า คงมีเพียงนิกายโลกวิญญาณอาจจะเข้ามาผูกมิตรกับเขาและต้อนรับเขาเป็นอย่างดี
แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคาดหวังว่า หลังจากที่เขาเดินออกมาจากหอคอยอสูรฟ้า จะมีคนทั้งเมืองต่างมายืนห้อมล้อมตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนจากนิกายโลกวิญญาณ หรือ สมาชิกทั้งหมดของตระกูล เจี่ย พวกเขาล้วนแล้วแต่มีสายตาเดียวกัน ก็คือ สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ ยำเกรง
‘ชูเฟิง’ไม่ได้สมบัติไรเลยจร้า ได้แค่แผนที่ ที่จำเอาไว้ในหัวสมอง และแผนที่แห่งนั้นจะนำเขาไปสู่ ขุมทรัพย์หรือไม่

ตีกันแน่ ทั้ง 2 ฝ่ายยยย
ฝ่ายตระกูลเจี่ยอยากกำจัดเขาเพื่อไม่ให้เขาไปอยู่กับนิกายโลกวิญญาณ
ฝ่ายนิกายโลกวิญญาณอยากได้เขามาเพื่อกำจัดตระกูลเจี่ย จริงๆเอามาเป็นกำลังสำคัญ
ช่วงหลังๆ ชูเฟิง ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก นิกายโลกวิญญาณเป็นประจำ ส่วน นิกายปีกฯ ยุบสภาไปแล้ว
ใครคิดถึงตอนเก่าๆก็ย้อนไปอ่านได้นะคับ
ว่างๆผมจะเข้าไปแก้คำ ให้สละสลวยเพื่อให้ทุกคนอ่านได้สนุกยิ่งขึ้น
ขอบขอบพระคุณ ทุกกำลังสนับสนุน ทุกกำลังใจ ทุกคอมเม้น ทุกไลค์ และที่สำคัญ ผู้อ่านทุกๆคน
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 199 – บุคคลลึกลับ

Martial God Asura ตอนที่ 199 – บุคคลลึกลับ

“สมบัติล้ำค่า สิ่งที่เรียกได้ว่าสมบัติล้ำค่ามันจะเป็นอะไรกันน่ะ? ใช่สุดยอดยุทธ์ภัณฑ์รึป่าวน่ะ? “
‘ชูเฟิง’รู้สึกดีใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะในหอคอยอสูรฟ้านี้มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีสมบัติอันล้ำค่าที่อยู่ภายในตราประทับปิดผนึกนี้ แต่แน่นอนว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวไปในชั้นที่ 7 ดังนั้นชูเฟิงจึงได้หาทางที่จะทำให้เขาได้ก้าวขึ้นไปในชั้นที่ 7
“สุดยอดยุทธ์ภัณฑ์? ฮ่าดูเหมือนว่าในช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้าจะได้เรียนรู้อะไรมามากมายหลายอย่างเลยซินะ”
‘ต้าน ต้าน’ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ภายในตราประทับปิดผนึกนี้จะมีสิ่งใด แต่สมบัติที่ถูกปิดผนึกไว้ในหอคอยอสูรฟ้านี้แน่นอนว่าอย่างน้อยๆมันจะต้องมีสุดยอดยุทธ์ภัณฑ์”
“แต่ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งใดเราจะได้รู้กันหลังจากนี้ ฟังคำสั่งของข้าวางรูปแบบเปิดผนึกและเข้าสู่ชั้นที่ 7 ซะ!”
“จัดไป!”
ภายใต้คำแนะนำของ ‘ต้าน ต้าน’ ‘ชูเฟิง’ได้เริ่มต้นในการวางรูปแบบการเปิดผนึก การก่อตัวนี้สามารถใช่ในการเปิดผนึกได้ทุกประเภทของตราประทับปิดผนึกหรือแม้กระทั่งการซ่อนตัว
 “การพัฒนารูปแบบจิตวิญญาณนี้เป็นที่น่าประทับใจมาก โชคดีจริงๆที่เป็นเจ้า เพราะข้าเกรงว่าแม้แต่ผู้เชื่อมต่อฯเสื้อคลุมสีฟ้าที่มีวิธีการในการก่อตัวเปิดพระวิญญาณชั้นสูง ก็ไม่อาจที่จะตรวจสอบการก่อตัวเปิดฯนี้ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
‘ต้าน ต้าน’ กล่าวด้วยความภูมิใจในตนเองในขณะที่’ชูเฟิง’ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเธอ
“ ต้าน ต้าน เราสามารถเปิดมันได้ยังงั้นหรอ? “
หลังจากที่ได้ยินว่า แม้แต่ผู้เชื่อมต่อฯเสื้อคลุมสีฟ้าก็ไม่สามารถที่เปิดมันได้มันจึงทำให้ชูเฟิงสูญเสียความมันใจทั้งหมด
“ แน่นอนว่าเจ้าสามารถทำได้ อย่าลืมสิว่านี่เป็นหอคอยอสูรฟ้าพลังงานทั้งหมดที่นี่นั้นมาจากโลกวิญญาณอสูรฟ้า”
“ เจ้าทำสัญญากลับข้าก็นับได้ว่าเจ้าเป็นครึ่งหนึ่งของคนพิภพอสูรฟ้า ไม่ว่าจะเป็นความดันวิญญาณหรือแม้แต่การก่อตัวที่นี่มันก็ไม่อาจที่จะทำอันตรายอะไรเจ้าได้”
‘ต้าน ต้าน’ อธิบาย
****ครึ่งหนึ่งนี่คือถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับมีสายเลือดครึ่งหนึ่งอะไรประมาณนี้อ่า
“ พิภพอสูรฟ้า?”
นอกเหนือจากอาการตกใจ’ชูเฟิง’ยังรู้สึกสับสน
“ เจ้าโง่!! เจ้าคิดจริงๆรึว่าโลกวิญญาณนั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแบบโลกของเจ้ารึไง? ความจริงแล้วนั้น โลกวิญญาณนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ดวง หรือจะเรียกอีกอย่างว่า 7 พิภพโลกวิญญาณ”
“ ภายใน 7 พิภพโลกวิญญาณนั้นมีการคงอยู่ของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันและความสามารถที่แตกต่างกันอยู่ที่นั้น และ พิภพอสูรฟ้า ของข้าก็คือโลกวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในทั้งหมด 7 พิภพโลกวิญญาณ ”
“ และโดยธรรมชาติ พิภพอสูรฟ้า ของข้าจะไม่ทำสัญญากับมนุษย์เพราะความเย่อหยิ่งของตน ดังนั้นจำนวนผู้ที่ทำสัญญากลับ พิภพอสูรฟ้า นั้นกล่าวได้ว่าเป็นเพียง 1 ใน 1,000 ล้าน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ยากมาก ยากของ ยากยาก!!”
“ อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เชื่อมต่อฯคนใดที่สามารถทำสัญญากับ พิภพอสูรฟ้าได้นั้นแน่นอนว่าจะเป็นที่โดดเด่นอย่างมากในเหล่าผู้เชื่อมต่อฯทั้งหมดในระดับเดียวกันไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ เพราะอำนาจที่พวกเขาได้ครอบครองคือพลังของอสูรฟ้าและอสูรวิญญาณของพวกเขาก็ยังเป็นโลกวิญญาณอสูรฟ้า”
‘ต้าน ต้าน’ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจอย่างมากมันเหมือนกลับบทกวีของความภาคภูมิใจอ่ะ ผมเขียนงงไปไหมฝากปรับให้มันเข้าถึงอารมด้วยนะ
” ถ้างั้นเจ้าก็กำลังจะบอกข้าว่ามันไม่ได้โชคดีไปทั้งหมดซินะ?”
‘ชุเฟิง’กล่าวพร้อมยิ้มหัวเราะ
“ ฮ่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะคิดได้เหมือนกันใช่ไหม? เจ้าควรที่จะรู้ว่าต่อให้คนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกวิญญาณยังรู้สึกเป็นเกียรตินะที่สามารถทำสัญญากลับโลกวิญญาณอสูรฟ้าได้และภูมิใจที่สามารถทำสัญญากลับโลกวิญญาณอสูรฟ้าได้”
“ แต่ยังใงก็ตามผู้ที่ทำสัญญากลับโลกวิญญาณอสูรฟ้าได้นั้นหายากเป็นอย่างมาก ถ้าเจ้าทำให้ผู้เชื่อมต่อฯที่บ่มเพาะพลังวิญญาณมานานหลายปีรู้ว่าเจ้าเด็กเล็กๆอย่างคุณเป็นผู้ทำสัญญากับราชินีอย่างข้าพวกมันจะต้องมาฉีกเจ้า ด้วยความอิจฉาเป็นแน่แท้ ”
‘ต้าน ต้าน’ ได้เม้มปากเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอและกล่าวว่ากับ’ชูเฟิง’
“ ถ้างั้นก็หมายความว่า มันเป็นสิ่งที่อันตรายมากเลยซินะที่ได้ทำสัญญากับเจ้าเนี่ยแถมข้ายังคงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอีก เห้อ!!.”
‘ชูเฟิง’ถอนหายใจ
 “ แน่นอน ข้ายังจำได้เสมอว่าต่างมีผู้ต้องการที่อยากมาจะทำสัญญากับข้ามากมาย แต่พวกมันเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธโดยฉัน. “
“ เพราะงั้นถ้าพวกมันรู้ว่าข้าได้ทำสัญญากับเด็กชายตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้าล่ะก็แน่นอนว่าพวกมันจะโกรธมากและจะตามฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”
” แต่ก็ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่เจ้าสามารถกู้คืนความแข็งแรงเดิมของข้าได้อย่างรวดเร็วล่ะก็จะไม่มีใครหน้าไหนสามารถทำร้ายเจ้าได้อย่างแน่นอน. “
‘ต้าน ต้าน’ ตบหน้าอกของตนเองเพื่อบ่งบอกว่านางจะปกป้อง’ชูเฟิง’
“ จริงๆแล้วข้าอยากจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะสร้างสัญญากับโลกวิญญาณอสูรฟ้าของคุณ และ ผู้ที่สร้างหอคอยอสูรฟ้าแห่งนี้ขึ้นมาจะต้องไม่ใช่คนที่เรียบง่ายอย่างแน่นอน”
‘ชูเฟิง’มองสภาพแวดล้อมของเขาแล้วมันเลยทำให้เขามีความคิดเช่นนั้น
“ เหอะ แน่นอนว่าเขานั้นไม่ง่าย แต่!!เค้าจะมีความสามารถพอที่จะเทียบกับครอบครัวของเจ้าได้หรือไม่ พวกเขามีความสามารถพอที่จะสร้างตราประทับปิดผนึกโลกวิญญาณอสูรฟ้าไว้ในร่างกายของ เด็กทารกน้อยคนนึง โดยที่ฉันไม่สามารถที่หนีออกไปได้”
ขณะที่ ‘ต้าน ต้าน’พูดนั้นได้มีการแสดงออกถึงความโต้แย้งทั่วใบหน้าของเธอ แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้บอกได้ว่าครอบครัวของ’ชูเฟิง’นั้นโคตรจะแข็งแกร่งเป็นพิเศษ
*** ฟูมมม ***
ขณะที่ทั้งสองได้พูดคุยกันก็ปรากฏแสงเป็นเสาหลักขึ้นจากการก่อตัวเปิดฯ มันได้พุ้งขึ้นไปทางด้านบนของหอคอยอสูรฟ้า แล้วปรากฏทางเข้าก่อวิญญาณ
“ ฮ่าๆ สำเร็จ! ชูเฟิงเข้าไปอย่างรวดเร็วและบอกให้ข้ารู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น!”
‘ต้าน ต้าน’ พูดและ’ชูเฟิง’ก็ได้กระโดดเข้าไปในทางเข้าก่อพระวิญญาณ
” เกิดอะไรขึ้น? ทำใมด้านบนของหอคอยอสูรฟ้าถึงได้เป็นที่โล่งกว่างสีขาวโพลนเช่นนี้ “
ในเวลาเดียวกันฝูงชนด้านนอกหอคอยอสูรฟ้าสีหน้าของพวกเขานั้นปรากฏเป็นผิวซีดเพราะทุกคนได้เห็นว่าด้านบนของหอคอยอสูรฟ้านั้นได้ปล่อยควันสีแดงและมันก็เริ่มสว่างยิ่งขึ้นออกมารอบๆด้านบนของหอคอย
“ ฉากเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในร้อยปีที่ผ่านมา!!”
ผู้เฒ่า’หลี’จากนิกายโลกวิญญาณก็ต้องตกใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากที่ได้ยินท่านผู้เฒ่าพูดว่าร้อยปีที่ผ่านมาในวันที่ทั้งสองสุดยอดอัจฉริยะจากนิกายโลกวิญญาณและ ตะกลู เจี่ย ได้พ่ายแพ้ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นที่กับหอคอยอสูรฟ้า เป็นปรากฏการที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมากกับสถานการณ์ในตอนนี้นั้นในสายตาของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นปรากฏการเดียวกันอย่างแน่นอน
” ดู! แสงสีฟ้าในชั้นที่ 6 หายไป! เกิดอะไรขึ้นในหอคอยอสูรฟ้า? “
ทันใดนั้นได้มีคนตะโกนออกมา ในทันทีทุกคนเริ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นแต่พวกเขาก็ไม่มีอำนาจพอเพราะพวกเขาทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้นั้นไม่สามารถที่ขึ้นไปสู่ชั้นที่ 6 ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำได้แค่รอ รอให้’ชูเฟิง’ออกมาเท่านั้นและถามเกี่ยวกับความจริงที่เกิดขึ้น
ทุกอย่างอยู่ในความสับสนวุ่นวาย’ชูเฟิง’ได้ก้าวเข้าสู่ชั้นที่ 7 สำเร็จ แต่สถานที่นี้แตกต่างจากชั้นที่ 6 อย่างสมบูรณ์ ผนังทุกที่นั้นเป็นการก่อตัวของแสงวิญญาณและด้านบนของการก่อตัวเปิดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีสัญลักษณ์แปลกๆ และยังทำให้’ชูเฟิง’รู้สึกอีกว่าทุกการก่อตัวเปิดนั้นไม่สามารถที่จะทำลายได้และเคลื่อนย้ายพวกมันได้
การก่อวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นถนนที่นำทาง’ชูเฟิง’ไปอย่างรวดเร็วสู่จุดสิ้นสุดของทาง แต่เมื่อมาถึงปลายทางก็ยังคงมีการก่อตัววิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการก่อตัววิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก และ รูปร่างของมันยังออกลักษณะคล้ายคลึงกลับกรงนกเป็นอย่างมาก
“ฮ่า ~~~~”
ทันใดนั้นเสียงร้องกรี๊ดเจาะหูดังออกมา มันเป็นเสียงที่แปลกประหลาดเกินไปและทำให้’ชูเฟิง’ตกใจกลัวถึงกลับต้องกระโดดถอยหลังออกไป
ในเวลาเดียวกัน ‘ชูเฟิง’ได้เห็นรูปร่างที่เดินออกมาถึงในด้านหน้าของการพัฒนาจิตวิญญาณดั่งฟ้าผ่า หลังจากที่ได้เห็น’ชูเฟิง’เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากทั้งมือและเท้าของเขานั้นอยู่ไม่สุขและได้กระโดดไปรอบๆ และเขายังกล่าวอีกว่า
“ วันนี้ช่างวิเศษจริงๆ!ช่างวิเศษยิ่งนัก ! หลังจาก 100 ปีที่ผ่านในที่สุดก็มีคนมาถึงที่นี่สักที”
***ย๊ะหู๊ ฮ้า ฮ้า***
ในขณะที่เขามองไปที่คนที่อยู่ในด้านหน้าของเขา’ชูเฟิง’ได้เกิดอาการช็อคไปทั่วใบหน้า เพราะคนที่ปรากฏในด้านหน้าของเขานั้นช้างเป็นคนที่วิเศษมาก หูของเขานั้นคมเหมือนสัตว์บางชนิด ตาของเขานั้นเป็นสีแดงและดำ ฟันของเขานั้นแหลมคมดั่งใบมีด มันค่อนข้างเป็นลักษณะที่ค่อนข้างน่ากลัวเกินไป
แม้รูปร่างของเขานั้นจะเหมือนมนุษย์แต่ใบหน้าของเขานั้นดูเหมือนสัตว์ประหลาด แต่เหตุผลที่’ชูเฟิง’ตกใจนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าการปรากฏตัวของเขา แต่เป็นเพราะว่าบุคคลลึกลับคนนี้คือคนที่เอาชนะสองอัจฉริยะจากนิกายโลกวิญญาณและ ตะกลู เจี่ย เมื่อ 100 ปีที่ผ่านมา!!
จบแล้วครับ
################################################################################################# ช่วงสาระเล้าใจ : นายกระทิข้น
ปล.ที่ 1. เราจะเห็นกันแล้วนะครับว่าในตอนนี้ ต้าน ต้าน ได้แอบสปอยครอบครัวของชูเฟิงออกมานิดๆว่าแข็งแกร่งแค่ไหนที่สามารถสร้างตราประทับปิดผนึกตัวเองไว้ในตัวของชูเฟิงได้ 55555 ผมเดาว่าผู้อ่านคงอยากรู้เพราะงั้นผมจะให้นิดนึงว่าในตอนนี้ทางต้นฉบับของจีนนั้นได้เปิดเผยเรื่องราวของพ่อชูเฟิงออกมาแล้ว แต่ในเรื่องพลังนั้นยังไม่เปิดเผย แต่ขอย้ำนะครับว่าเผยแค่เรื่องราวของพ่อ แต่แม่นั้นยังเป็นปริศนาต่อไป อ่อและจะบอกอีกว่า กว่าจะถึงตอนนี้ก็…………2000+ นะจร๊ 555555
ปล.ที่ 2. บุคคลลึกลับได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว เค้าคือคนที่ปราบสองอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณและตะกลู เจี่ย แต่เขานั้นจะเป็นมิตรหรือ ศัตรูกันแน่ และสมบัติในชั้นที่ 7 นั้นคือสิ่งใด และสถานการณ์หลังจากที่ออกมาจาก หอคอยแล้วจะเป็นเช่นไรนั้น ต้องติดตามกันต่อในตอน 200 กันนะครับ
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 198 – ต้านต้าน กลับมา

Martial God Asura ตอนที่ 198 – ต้านต้าน กลับมา

‘ชูเฟิง’รู้สึกตื่นเต้นยินดี เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงทางเดินลับที่ก่อตัวขึ้นมาด้วยแรงดันวิญญาณ ตราบใดที่เขาสามารถแก้ปริศนาได้ เขาก็จะสามารถเข้าสู่ทางเดินลับนั้นได้
“แปลกจิง !? ก็ตอนนี้ข้าอยู่ในจุดสูงสุดของหอคอยแล้วนี่ ทำไม่ถึงยังมีแรงดันวิญญาณที่ก่อตัวเป็นทางเดินอยู่อีก อาจเป็นไปได้ว่าหอคอยนี้มันมี 7 ชั้น !! หรือทางเดินนั่นจะนำพาไปยังสถานที่อื่นกัน ??”
ขณะนั่นเขาได้เข้าสู่สภาวะสงบนิ่ง ตั้งมั่นในสมาธิอย่างแน่วแน่ เขารู้สึกว่าแรงดันวิญญาณที่ก่อตัวเป็นทางเดินที่อยู่เหนือเขานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถค้นพบและผ่านมันเข้าไปได้ เนื่องจากเขาอยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว แต่เขาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้เลยในก่อนหน้านี้
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าทางเดินแรงดันวิญญาณนี้อาจก่อต่อตัวขึ้นมาเพื้อ’ชูเฟิง’โดยเฉพาะ ขณะนั้น ‘ชูเฟิง’กำลังสงสัยว่า ทางเดินวิญญาณนี้อาจเป็นกับดักสำหรับเขา
“จริงซิ !! คิดไปก็เสียเวลาเปล่า ก่อนนั้นต้านต้านเคยกล่าวว่านางอยู่มานาน บางทีหากนางตื่นขึ้น นางอาจจะรู้ความลับของหอคอยอสูรฟ้าก็เป็นได้ !!”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อข้ามีเผลจิตวิญญาณถึง 3 ผล ไหนมาลองดูกันซิว่า มันจำมีพลังอำนาจเพียงใดหลังจากที่ข้ากินมัน”
‘ชูเฟิง’ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาเลือกผลจิตวิญญาณออกมาหนึ่งผล หลังจากเคี้ยวเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็กลืนมันลงไป ‘ชูเฟิง’รับรู้ได้ว่ารสชาติของผลจิตวิญญาณนั้นยอดเยี่ยมมาก มันเป็นผลไม้ที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เขาเคยกินผลไม้มา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมผลจิตวิญญาณถึงได้มีรสชาติที่อร่อยเลยแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วนั้น รสชาติของผลจิตวิญญาณนี้ไม่ได้อร่อย แต่เพราะว่า’ชูเฟิง’ไม่ได้ข้าวเลยสักเม็ดเดียว หรือแม้แต่น้ำสักหยดเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ที่ผลจิตวิญญาณเข้าถึงช่วงท้องของเขา ‘ชูเฟิง’รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานสองสายอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่สมอง และรวมตัวกับพลังวิญญิาณของเขาในทันที ขณะนั้นอำนาจพลังวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นหลายระดับ
คลื่นพลังงานยังคงเคลื่อยเข้าสู่สมองของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่ได้ผสานเข้ากับพลังวิญญาณของเขา มันทะลวงเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาแทน
ในขณะนั้น
“นี่มัน….พลังออร่าของต้านต้าน นางยังไม่ตายจริงๆ !!”
‘ชูเฟิง’รู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงพลังออร่าของต้านต้าน และนางกำลังดูดซับพลังงานของผลจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังออร่าของ’ต้านต้าน’ชัดเข้มข้นและแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน ‘ชูเฟิง’สัมผัสได้ว่า ร่างกายของ’ต้านต้าน’กำลังฟื้นฟูภายในโลกวิญญาณของเขาอย่างช้าๆ
“นี่มันสุดยอดจริง ผลจิตวิญญาณช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก”
‘ชูเฟิง’กล่าวออกมาขณะที่เขา หยิบเอาผลจิตวิญญาณที่เหลือขึ้นมา และกินพวกมันลงไปในทันที
หลังจากที่เขากินผลจิตวิญญาณเข้าไปแล้วนั้น เขาได้เข้าสู่ภายในโลกวิญญาณของเขา เพื่อดูถึงผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“งดงามยิ่งนัก !!”
ในขณะนั้น ‘ชูเฟิง’สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึง กลุ่มหมอกสีเขียวที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ ภายในโลกวิญญาณของเขา
กลุ่มหมอกนี้ช่างสวยงาม มันดูราวกับแสงของดวงอาทิตย์ยามอัสดง แต่แสงสีของมันเป็นสีเขียวจางๆ และในขณะนั้น พวกมันกำลังรวมตัวเข้ากับพื้นที่ของโลกวิญญาณ
เพียงเวลาไม่นาน แสงสีเขียวที่เคยห้อมล้อมทั่วบริเวณเหล่านั้น ตอนนี้พวกมันค่อยๆ จางหายไป และสภาวะแวดล้อมของโลกวิญญาณก็กลับสู่สภาพเดิม
“คิดอะไรอยู่ !! เจ้าเหม่อลอยไปถึงไหนกัน”
‘ชูเฟิง’รู้สึกตกใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเสียงที่ใสราวกับเสียงของระฆังแก้ว ดังขึ้นมาทั่วบริเวณของโลกวิญญาณ
“ต้านต้าน !! นี่มันเสียงของต้านต้าน !!”
ร่างกายของ’ชูเฟิง’สั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มพราวออกมา ตั้งแต่เข้าก้าวเข้าสู่โลกวิญญาณ เขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ในส่วนกลางของพื้นที่โลกวิญญาณ ปรากฏร่างของต้านต้านขึ้น ชุดกระโปรงของนางยังคงถูกถักทอด้วยขนสีดำ เผยให้เห็นไหล่ที่ขาวเรียบเนียนด้านบน ปากเป็นกระจับได้รูป และขาขาวที่ยาวตรง
รูปลักษณ์ของนางไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ยิ่งน่ารักขึ้นกว่าเก่า บนใบหน้าที่อ่อนหวานประดับไปด้วยดวงตาคู่งาม หน้าอกทั้งคู่โค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยว นางกำลังมองมายังชูเฟิงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างชื่นบาน
“เจ้านี่มันช่างน่าประทับใจจริงๆ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีผลจิตวิญญาณ ใครเป็นคนบอกเจ้ากัน ว่าผลจิตวิญญาณสามารถปลุกข้าได้”
‘ต้านต้าน’ถามพลางหัวเราะคิกคักในลำคอ
อย่างไรก็ตาม ‘ชูเฟิง’ไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด เขาพุ่งตัวมาข้างหน้าราวหัวลูกศร และหยุดอยู่หน้าของ’ต้านต้าน’ เขากางแขนของเขาออกและสวมกอดนางอย่างแนบแน่น พร้อมทั้งกล่าวว่า
“คราวหน้าอย่าทำอะไรบ้าบิ่นเช่นนี้อีก !! รู้มั้ยว่าข้าเป็นห่วง”
ในขณะที่ถูก’ชูเฟิง’สวมกอดนั้น ใบหน้าที่ขาวเนียนของนาง พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความเขิลอาย
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้ผลัก’ชูเฟิง’ออกแต่อย่างใด ด้วยพลังของนางนั้น หากนางคิดจะหลบการสวมกอดของ’ชูเฟิง’นั้น นางย่อมทำได้อย่างง่ายดาย
“พอแล้ว !! แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่เจ้าก็ต้องระวังให้มาก ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะได้เจอดีจากข้าได้”
‘ต้านต้าน’กล่าวตอบพร้อมหัวเราะเบาๆ
ในขณะนั้น ‘ชูเฟิง’ก็คิดได้ว่า เขาทำเกินไปจริงๆ เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจในตัวเองออกมาบนใบหน้า เขาคลายการสวมกอดจากนาง พร้อมทั้งยิ้มและกล่าวขึ้นว่า
“ต้านต้าน !! ท่านเคยได้ยินชื่อ หอคอยอสูรฟ้า หรือไม่”
“หอคอยอสูรฟ้า !? เจ้าเคยได้ยินเรื่องหอคอยอสูรฟ้าด้วยงั้นรึ !?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ใบหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่เคยได้ยินหรอก !! แต่ตอนนี้เราอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยอสูรฟ้า”
‘ชูเฟิง’กล่าวตอบ
“จริงเหรอ !? ไหนรีบๆ ออกไปดูซิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็เต็มด้วยความสุข นางกล่าวออกมาพร้อมกระโดดขึ้นลงด้วยความน่ารัก
‘ชูเฟิง’ปฏิบัติอย่างรวดเร็ว เขารีบออกจากโลกวญญาณของเขา และกลับสู่สภาวะปกติ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อที่จะให้’ต้านต้าน’ได้มองเห็นสภาพแวดล้อมต่างๆ
“จริงๆ ด้วย !! ที่นี่คือหอคอยอสูรฟ้า ฮ่าๆ !! ที่นี่มันตั้งอยู่ที่ใดในเก้าอาณาจักร”
นางกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงทร่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
“ที่นี่ตั้งอยู่ภายในอาณาจักรจิตวิญญาณ ภายในเก้าอาณาจักร ต้านต้าน !! หอคอยอสูรฟ้านี่มีอะไรที่พิเศษเกี่ยวกับท่านอย่างนั้นเหรอ”
‘ชูเฟิง’กล่าวตอบ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเขาคิดว่า ‘ต้านต้าน’ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับหอคอยอสูรฟ้าอย่างแน่นอน
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ภายในเก้าอาณาจักรจะมีหอคอยอสูรฟ้า ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยที่จะเข้ามาถึงที่นี่ และจำเป็นต้องมีผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณที่แข็งแกร่งคอยปกป้องมัน”
“ชูเฟิง เจ้าต้องรู้ก่อนว่า หอคอยอสูรฟ้านี่ ถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดผนึก”
“อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ปิดผนึกสัตว์อสูรที่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่มันมีไว้เพื่อปิดผนึกสมบัติที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง”
‘ต้านต้าน’อธิบาย
“สมบัติล้ำค่าอย่างนั่นเหรอ !?”
‘ชูเฟิง’ถามขึ้น
“ที่นี่ชั้นที่เท่าไร”
“ชั้นที่ 6”
“ไม่ใช่ !! ที่ถูกต้องสำหรับหอคอยอสูรฟ้านั้น อย่างน้อยๆ ต้องมีอย่างน้อยเจ็ดชั้น ไม่ใช่หกชั้น เจ้าลองค้นหาดูว่ามีทางเดินที่ก่อตัวจากแรงดันวิญญาณหรือไม่ !!”
“ใช่แล้ว มันมีทางเดินที่ก่อตัวขึ้นจากแรงดันวิญญาณเป็นทางขึ้น ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าหอคอยอสูรนี้มีเจ็ดชั้น”
“แน่นอน ถ้าข้าคิดไม่ผิด สมบัติล้ำค่าจะต้องถูกปิดผนึกอยู่บนชั้นถัดไปของหอคอยอสูรฟ้าแน่ๆ

ผู้แปล โดยคุณ#
สมบัติ ? จะได้หรือไม่ได้ จะได้หรือไม่ได้ แล้วมันเป็นสมบัติอะไร ??? อาวุธ ??? เกราะ ??? ผ้าคลุม ??? โอสถ ??? หรือว่าจะ . . . . . . . . .
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 197 – ชั้นที่ 7

Martial God Asura ตอนที่ 197 – ชั้นที่ 7

” แท้จริง แรงดันวิญญาณที่แห่งนี้เร่งการเจริญเติบโตของผลวิญญาณ ให้สุกงอม ดูเหมือนตอนนี้เขามีหวังที่จะรักษาต้านต้านแล้ว “
‘ชูเฟิง’ยังคงนั่งไขว้ขาอยู่บนชั้น 6 ขณะมองผลวิญญาณในมือของเขาที่กำลังเปลี่ยนแปลง ในใจเขารู้สึกระรื่นจนผิดปกติ
เนื่องจากตอนนี้ ผลวิญญาณมันดูแตกต่างไปจากตอนแรกเป็นอย่างมาก ‘ชูเฟิง’ค่อยๆรู้สึกได้ถึงอำนาจพลังที่บรรจุอยู่ภายใน มันยังคงเพื่มขึ้น เพิ่มขึ้น
หลังจากเห็นความหวัง ‘ชูเฟิง’ ก็ตั้งเป้าหมายไว้ ตอนนี้เขาได้เตรียมผลวิญญาณสามลูกเมื่อทำให้มันเติบโต ทั้งหมด
ภายในหอคอยอสูรฟ้า ถึงแม้ว่าจะมีปริมาณแรงดันวิญญาณสูงแต่มันก็ช่วยให้เพื่มอำนาจพลังวิญญาณและความสามารถด้านร่างกายเป็นอย่างดี วิธีตรวจสอบว่าใครสามารถทนอยู่ในนั้นได้นานหรือไปชั้นสูงๆมีอยู่วิธีเดียว ไม่ใช่วิ่งไปดูกับตานะ เพราะชั้นที่ ‘ชูเฟิง’ อยู่ไม่มีใครเข้าไปได้
ในช่วงเย็นของการสอบ หลายคนที่ไม่สามารถทนกับแรงดันวิญญาณ ก็วิ่งออกมาจากชั้นแรกโดยที่เมล็ดวิญญาณไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
หลังจากวันแรก เกือบจะทุกคนที่ออกจากชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 เมล็ดวิญญาณที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดของพวกเขาก็มีแค่รากงอกออกมา บางคนก็มีกิ่ง ก้าน และ ใบ สารอาหารที่เมล็ดวิญญาณเหล่านั้นได้รับมีเพียงน้อยนิด แน่นอนว่า นั้นเป็นการพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นเอง
ในวันที่สอง ผู้คนจากชั้นที่ 3 ก็พากันถยอยลงมาเช่นกัน เมื่อผู้คนจากนิกายโลกวิญญาณลงมา พวกเขาก็รีบเรียกมาถามทันที
ไม่ว่าจะเป็น อาวุโสตระกูลเจี่ย หรือ อาวุโสนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาอยากรู้ว่ามีใครบ้างที่ขึ้นไปยังชั้น 4
” เจ้ากำลังจะบอกว่า มีสามคนที่ขึ้นไปยังชั้น 4  นอกจากอัจฉริยะของนิกายโลกวิญญาณ และ ตระกูลเจี่ย ยังมีคนนอกอีกคนงั้นหรอ “
ผู้เฒ่า’หลี่’จากนิกายโลกวิญญาณตกใจอย่างมากหลังจากที่ได้รับคำตอบ
” เจ้าทราบไม๊ว่าเด็กคนนั้นมาจากที่ไหนและเขามีนามว่าเช่นไร ? “
ผู้เฒ่า’หลี่’ ถาม
” เขามีนามว่า ชูเฟิง ข้าน้อยก็ไม่รู้เขามาจากไหน แต่เขาดูแลสาวกนิกายโลกวิญญาณของเราเป็นอย่างดี!!! “
” ชั้นที่ 3 ตระกูลเจีย ทำการบางอย่าง ตอนนั้น พวกเขาพยายามขัดขวางและปิดเส้นทางของเราในการก้าวสู่ชั้นต่อไป หากไม่ได้ ชูเฟิง คนนั้นช่วย ข้าน้อยเกรงว่าพวกเราคงยากที่จะรอดออกมาแบบมีชีวิต “
หญิงสาวตอบ พร้อมกับแสดงท่าทีโมโห นางถลึงตามองจ้องไปที่ 3 อาวุโสตระกูลเจี่ย เหมือนด่าในใจ
” พูดบ้าๆ!!! ตอนนี้ สมาชิกตระกูลเจี่ยของข้าก็ได้รับบาดเจ็บ เจ้ายังมีน่ามาใส่ร้ายพวกเขาอีกหรอ “
ก่อนที่ผู้เฒ๋า’หลี่’จะได้อ้าปาก อาวุโสตระกูลเจี่ย ก็พูดดักเข้ามา
” จริงๆแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ยังนิกายโลกวิญญาณของเราจะเป็นผู้ตรวจสอบ หลังจากที่การสอบสิ้นสุด ที่ข้าเป็นห่วงก็คือพวกเขาทั้ง 3 จะทนอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหน และใครจะเป็นคนที่เอาผลวิญญาณที่สุกงอมออกมา “
ผู้เฒ่า’หลี่’พูด พร้อมกับทอดสายตาไปยังหอคอยอสูรฟ้า
” อ่า. . . . “
อาวุโสเจี่ยสูดอากาศเข้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขากังวลว่าหนึ่งใน 3 คนนั้น ใครจะอยู่ได้นานที่สุด และใครกันที่เป็นคนอยู่ชั้น 4 และชั้น 5 สุดท้ายก็ชั้นที่ 6
ในวันที่สาม แสงสีฟ้าในชั้นที่ 4 ก็เริ่มเคลื่อนไหว หลังจากที่ภายในหอคอยอสูรฟ้าในชั้นนี้คงสภาพตลอดทั้งวันก็เรื่มกระเพื่อมอย่างต่อหนึ่ง
ในตอนนั้น สายตาของทุกคนรวมไปที่จุดเดียว พวกเขารู้สึกว่าคนที่อยู่ในชั้นที่ 4 เป็นเวลา 3 วันนั้นก็คือ ‘ชูเฟิง’
แม้ว่าเขาจะไม่ใข่คนของนิกายโลกวิญญาณหรือคนของตระกูลเจี่ย พวกเขาก็ยังต้องการเห็นการปรากฏตัวของ’ชูเฟิง’ เนื่องจากว่า คนที่สามารถก้าวไปสู่ชั้นที่ 4 จะถูกจดจำในฐานะ บุคคลอัจฉริยะ
* อะเฮื้อ *
แต่เมื่อคนๆนั้นเดินออกมาจากหอคอยก็มีคลื่นวิญญาณทะลักออกมา ทุกคนได้แต่ประหลาดใจ โดยเฉพาะ สามอาวุโสเจี่ย พวกเขาขณะนั้นกำลังตะลึงจนปากค้าง ความตกใจแบบสุดขีดปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของพวกเขา
เพราะคนที่เดินออกมา จากหอคอยอสูรฟ้าไม่ใช่ ‘ชูเฟิง’ หรือ ‘กู๋ โบ่’ แต่มันคือคนของตระกูลเจี่ย ที่พวกเขาคิดว่าอยู่ชั้นสูงสุด ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน ‘
” มันเป็นไป บ่ได้ มันบ่ แม่น มันบ่ ใช่ ? อะเฮื้อๆ “
สมาชิกตะกูลเจี่ย
” มันเกิดขึ้นได้ยังไง ที่จะเป็นนายน้อย เจี่ย ปู๋ฟ้าน ของตระกูลเจี่ย เขามีเกราะหนามไม่ใช่หรอทำไมถึงไปแค่ชั้น 4 ? “
ใบหน้าของของทุกคนของตระกูลเจี่ย แทบไม่อยากจะยอมรับความจริง
ใบหน้าของ ‘เจี่ย ปู่ฟ้าน’ตอนนั้นก็เช่นกัน เขาไม่ได้พูดใดๆออกมา แต่กับรีบเดินหนีไป เพราะเขาไม่อาจบอกคนอื่นได้ว่าเขา โดนเด็กหนุ่มอย่าง ‘ชูเฟิง’ ข่มขู่ ที่บอกให้เขาหยุดอยู่ชั้นที่ 4 หากมีคนรู้เข้าไม่เพียงแต่จะทำให้ตัวเองเสียหน้า ทั้งตระกูลยังต้องอับอายเพราะเขาอีก
” อาวุโสเจี่ย ดูเหมือนสมบัติที่ล้ำค่าของท่านจะไม่มีประโยชน์สินะ!!! ฮ่าฮ่าฮ่า . . . . . . . . “
อาวุโสนิกายโลกวิญญาณต่างพากันหัวเราะเสียงดัง ชอบใจ
” พวกเจ้า. . . . . . . “
อาวุโสเจี่ย เลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ จนเป็นสีแดง เดิมทีพวกเขาต้องการจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็เถียงไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขาพูดออกมาอย่างมั่นใจ บัดนี้คำพูดพวกนั้นกลับมาตบหน้าตัวเอง จนทำให้หน้าแหกในช่วงบ่ายของวันที่สาม
ดวงไฟสีฟ้า ในชั้น 5 ในที่สุดก็เคลื่อนไหว หลังจากมีคนเดินออกมาจากหอคอยอสูรฟ้า เหล่านิกายโลกวิญญาณและตระกูลเจี่ยก็เต็มไปด้วยความตกใจ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะเขาคือ ‘กู๋ โบ่’ ดังนั้นทุกคนจึงได้คำตอบ ว่าคนที่อยู่ชั้นที่สูงที่สุด ไม่ใช่คนจากนิกายโลกวิญญาณหรือคนจากตระกูลเจี่ย แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘ชูเฟิง’
” เขาทำได้แล้ว!!! “
‘กู๋ โบ่’ ยินอยู่หน้าหอคอยพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมอง เขาเห็นแสงไฟสีฟ้าที่ชั้น 6 หัวใจของเขาก็เหมือนกับแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร แม้เขาจะรู้ว่า ‘ชูเฟิง’ ไม่ธรรมดา ยิ่งเมื่อ ‘ชูเฟิง’ ทำเป้าหมายสำเร็จ เขานั้นไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ได้
” เอ้ยยย กู๋ โบ่ “
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง และเมื่อ’กู่ โบ๋’ หันกลับมา ก็ได้แต่ตกใจ เพราะคนๆนั้น คือ สุดยอดผู้เชี่ยวชาญของนิกายโลกวิญญาณ ผู้เฒ่าหลี่
” ผู้เฒ่าหลี่ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ละ ? “
‘กู๋ โบ่’ถามด้วยความประหลาดใจ
” อ่อ . . . . . ว่าแต่เจ้าเคยพบกับ ชูเฟิง หรือเปล่า ?”
ผู้เฒ่าหลี่ยิ้มและถาม
” เขาเป็นคนที่โดดเด่นอย่างมาก เขาไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดันวิญญาณที่ชั้น 5 เลยสักนิด แต่ยังไงก็ตาม ข้าไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถไปถึงด้านบนได้ น่าประทับใจจริงๆ!!! “
‘กู๋ โบ่’ ตอบ
” นั้นสิ . . . . . . .เขาช่างโดดเด่นและมากความสามารถ เขาเป็นบุคคลที่สนใจทีเดียว! “
ผู้เฒ่าหลี่พยักหย้า แล้วมองเป็นในๆไปที่ชั้น 6
” ผู้เฒ่าหลี่ ชูเฟิง นั้นมีความแค้นกับตระกูลเจี่ย . . . . . . “
” ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นิกายโลกวิญญาณจะต้องปกป้องเขา และดึงเขาให้เข้านิกายเราให้ได้ !!! “
ผู้เฒ่า’หลี่’ โบกมือพร้อมกับเดินไปที่พระราชวัง ในตอนนั้น ‘กู๋ โบ่’ ก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ
ในเวลาเดียวกัน ‘ชูเฟิง’ ที่อยู่บนชั้น 6 ลุกขึ้นยืน เมื่อมองไปที่ 3 ผลวิญญาณในมือของเขา ตอนนี้ผลของมันกลายเป็นสีเขียวเข้ม ความตื่นเต้นของเขาสุดที่จะพรรณนาได้ เขารู้สึกถึงอำนาจพลังวิญญาณของผลวิญญาณทั้ง 3 ลูก หากมันได้ผลจริงๆมันก็จะสามารถช่วยให้ ‘ต้านต้าน’ กลับมา
” ความรู้สึกแบบนี้ !!! “
ตอนนั้นสีหน้าของ’ชูเฟิง’เปลี่ยนไปฉับพลัน เขาพบร่องรอยบางอย่างที่ผิดปกติเขารีบลุกขึ้นแล้วหยิบเข็มทิศโลกวิญญาณขึ้นมา และ อัดอำนาจพลังวิญญาณเข้าไป หลังจากนั้นเข็มทิศก็เป็นลูกศรชี้ขึ้น
หลังจากที่ ‘ชูเฟิง’ ใช้พลังจากเข็มทิศโลกวิญญาณตรวจสอบร่องรอยที่ผิดปกติ ภายในดวงตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้าง พร้อมกับกล่าวออกมา
” มันยังมี ชั้นที่ 7 “

เขาจะได้พบกับอะไร เราต้องมารอติดตามกัน
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 196 – สู่จุดสูงสุด

Martial God Asura ตอนที่ 196 – สู่จุดสูงสุด

“ยอดยุทธภัณฑ์เช่นนี้ ยังมีอีกหรือไม่ในดินแดนนี้”
‘ชูเฟิง’รู้สึกชื่นชมความแข็งแกร่งของเกราะหนาม ที่เขาต้องใช้เทคนิคลับอย่างพยัฆค์ขาวพิฆาต เพื่อทำลายมัน มันอาจเป็นยอดอาวุธและยุทธภัณฑ์ที่ยากต่อการรับมือ
“ยอดอาวุธเช่นนี้มีเพียงหนึ่งเดียว และมันเป็นสมบัติของตระกูลเจี่ย”
“เจี่ยปู้ฟานนั้นมีอำนาจพลังวิญญาณไม่สูงมาก เขาจึงทำได้เพียงใช้เกราะหนามเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ว่า….หากเกราะหนามนี้ถูกใช้โดยพี่ชายของเขา มันไม่เพียงแต่เป็นเกราะป้องกัน แต่มันยังสามารถเป็นอาวุธสังหารที่ทรงพลัง”
“พี่ชายของเจี่ยปู้ฟานเป็นคนที่น่าเกรงขาม อีกทั้งเขายังถูกหมายตัวเป็นหัวหน้าตระกูลเจี่ยในอนาคต พลังของเขาน้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับแก่นวิญญาณ คาดว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นแดนสวรรค์ได้ภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ แม้แต่ผู้อาวุโสของนิกายโลกวิญญาณก็ยังเกรงกลัวเขาอยู่มาก”
“เพราะเขาเป็นพี่ชายของเจี่ยปู้ฟาน เขาจึงได้ให้ยืมสมบัติที่ล้ำค่าของตระกูลเช่นนี้ ข้าคาดว่าเขาคงรักเจี่ยปู้ฟานเป็นอย่างมาก นี่จึงเป็นสิ่งที่ดี ที่เจ้าไม่ได้ฆ่าเขา”
‘กู๋โบ่’กล่าวเตือน’ชูเฟิง’
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน!!”
ในทันที’ชูเฟิง’ก็รู้ได้ว่า เหตุใด’กู๋โบ่’จึงแสดงความกังวลในขณะที่มองมาทางเขา นั่นเพราะพี่ชายของ’เจี่ยปู้ฟาน’นั้นมีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลที่เจ้าทำเช่นนั้น ก็เพื่อปกป้องพวกเรา อย่างไรก็ตาม นิกายโลกวิญญาณจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเจ้า”
‘กู๋โบ่’กล่าวสาบานด้วยท่าทีที่เคร่งคัด
“หึ………”
‘ชูเฟิง’ไม่ได้กล่าวตอบไป เขาเพียงแค่ยิ้มรับอย่างราบเรียบ พวกเขายังคงเดินต่อไป ทางเดินของชั้นนี้ค่อนข้างแตกต่างจากชั้นอื่นๆ ที่ผ่านมา พวกเขารู้สึกได้ถึงแรงดันวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากที่พวกเขาผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยแรงดันวิญญาณ และเข้าสู้พื้นที่ของชั้นถัดมาอย่างแท้จริงนั้น พลันใบหน้าของ’กู๋โบ่’เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แม้แต่จะหายใจยังยากลำบาก
“พี่ชายกู๋โบ่ ท่านยังไหวมั้ย !?”
เมื่อเห็นดังนั้น ‘ชูเฟิง’จึงเข้าไปประคองกู๋โบ่ทันที
“น้องชายชูเฟิง เจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก เจ้ายังดูสบายๆ แม้จะอยู่ภายใต้แรงดันวิญญาณของชั้นนี้อยู่เลย”
‘กู๋โบ่’ระบายลมหายใจออกก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปที่’ชูเฟิง’ที่ยังคงมีใบหน้าที่ปกติ ช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะรู้สึกทึ่ง เขาทำได้เพียงส่ายศรีษะและถอนหายใจด้วยความชื่นชม พร้อมทั้งกล่าวขึ้นว่า
“น้องชายชูเฟิง ความสามารถของข้ามีจำกัด และในชั้นที่ 5 นี่ คือขีดจำกัดของข้าแล้ว ข้าไม่สามารถไปกับเจ้าได้อีก”
“พี่ชายกู๋โบ่ ดูแลตัวเองด้วย”
‘ชูเฟิง’กล่าวเพียงสั้นๆ หลังจากที่เขาประคอง’กู๋โบ่’ให้นั่งลงแล้วนั้น เขาก็ก้าวตรงไปยังชั้นที่ 6
“น้องชายชูเฟิง ในความเป็นจริงแล้วนั้น บุคคลที่สามารถมาถึงยังชั้นที่ 5 ได้นั้น มีแทบนับไม่ถ้วน แต่ในรอบร้อยปีมานี้ ยังไม่เคยมีผู้ใดที่สามารถไปสู่ชั้นที่ 6 ได้เลยแม้แต่คนเดียว”
“ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงแรงดันวิญญาณในชั้นที่ 6 อีก อุปสรรค์ต่างๆ บนชั้นที่ 6 นั้น ดูราวกับว่ามันยากจนไม่สามรถจะก้าวไปถึงได้ เพราะจากการที่มีผู้อาวุโสหลายที่ต้องสูญบางสิ่ง และบางคนก็เสียชีวิตลงหลังจากพวกเขาพยายามขึ้นไปยังชั้นที่ 6”
“พลังวิญญาณของเจ้านั่นแข็งแกร่งมาก เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ และได้เป็นบุคคลแรกในรอบร้อยปี ที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่หกได้”
ใบหน้าของ’กู๋โบ่’เต็มไปด้วยความคาดหวัง เพราะ’ชูเฟิง’เป็นคนที่เขาสามารถฝากความหวังไว้ได้
“พี่ชายกู๋โบ่ ท่านไม่ต้องกังวลใดๆ ข้าจะทำจนสุดความสามารถของข้า แต่ข้าจะไม่ฝืนตัวข้าเอง”
‘ชูเฟิง’ยิ้มขึ้น พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปยังทิศทางสู่ชั้นที่ 6
“มีคนเข้าสู่ชั้น 5 ได้สองคน ทั้งคู่ต้องเป็นกู๋โบ่ และเจี่ยปู้ฟานแน่นอน”
ที่ด้านนอกของหอคอยก็เต็มไปด้วยเสียงชื่นชมยินดี
ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเจี่ย หรือคนของนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาล้วนมีความสุข เพราะเปลวไฟสีน้ำเงินอ่อนๆสองดวง บ่งบอกได้ว่ามีบุคคลเข้าสู่พื้นที่ของชั้น 5 ด้วยกัน 2 คน และพวกเขาต่างคิดว่าต้องเป็นอัจฉริยะของพวกเขา นั่นคือ ‘กู๋โบ่’ และ’เจี่ยปู้ฟาน’
“ดูนั่นมีคนหายไป !! เขาไปไหน !? เขาอาจจะกลับไปที่ชั้น 4 เพราะทนแรงดันวิญญาณของชั้น 5 ไม่ไหว”
“ไม่ใช่ !! ทิศทางที่เขากำลังไป…นั่นมันทางไปสู่ชั้นที่ 6 !! มีคนกำลังจะท้าทายชั้นที่ 6 !!”
“สวรรค์ !! มีคนกล้าท้าทายชั่นที่ 6 มันเป็นไปได้อย่างไร ในรอบร้อยปียังไม่มีใครสามารถขึ้นไปได้เลย !!”
“เขาเป็นใคร เจี่ยปู้ฟาน หรือว่า กู๋โบ่ !?”
ในขณะนั้น ทั่วบริเวณมีแต่เสียงตะโกนของฝูงชนด้วยความตกใจ ของทั้งสองฝ่าย แม้แต่หกผู้อาวุโสก็ต่างจับจ้องไปที่ชั้น 6 อย่สงไม่วางตา
ฉับพลันนั้น มีเสียงตะโกนบอกให้เงียบดังขึ้นมา ทุกคนในลานกว้างต่างเข้าสู่ความสงบ เปลวไฟน้ำเงินจางๆ ได้หายไป นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้กลับลงมา เขายังคงมุ่งหน้าต่อไป
ในเวลานั้น ทุกคนแทบหยุดหายใจ มันช่างเงียบสงบ ได้ยินเพียงแต่เสียงการเต้นของหัวใจ การหายใจของพวกเขาเริ่มตึงเครียด สายตาทุกคู่ต่างจ้องมองไปยังชั้น 6
พวกเขาต่างมองขึ้นไป พวกเขามองหาคนที่สามารถขึ้นไปถึงชั้น 6 ของหอคอย เพราะเมื่อร้อยปีก่อน หลังจากอัจฉริยะทั้งสองของตระกูลเจี่ย และนิกายโลกวิญญาณเข้าสู่ชั้นที่ 6 ก็ไม่มีใครขึ้นไปได้อีก
เพราะชั้นที่ 6 เป็นดั่งตำนาน และเป็นตำนานที่ไม่เคยถูกทำลายมากว่าร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเจี่ย หรือคนของนิกายโลกวิญญาณ พวกเขาต่างหวังว่าจะมีใครสักคนทำลายตำนานนี้ลงได้
“ดูนั่น !! ไฟสีฟ้า ไฟสีฟ้าปรากฏขึ้นที่ชั้น 6 เขาทำได้แล้ว !! เขาก้าวเข้าสู่พื้นที่ของชั้นที่ 6 แล้ว !!”
เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น มือและเท้าของพวกเขาต่างสั่นระรัว
“สวรรค์ !! เขาทำสำเร็จ มีคนขึ้นสู่ด้านบนสุดได้แล้ว”
“ใครเป็นคนที่ทำสำเร็จ !? เป็นกู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณของข้า หรือจะเป็นเจี่ยปู้ฟานจากตระกูลเจี่ย !!”
ในชั่วเวลานั้น ทั่วทั้งลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงตะโกนด้วยความยินดี พวกเขาตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนจากทั้งสองกลุ่มที่ไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน กลับโผเข้าโอบกอดกันด้วยความปราบปลื้ม
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหกของนิกายโลกวิญญาณ ร่างกายของพวกเขาต่างสั่นสะท้าน ความสุขมากมายประดังขึ้นมาจนใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถแสดงออกมาได้หมด
“ร้อยปี….หลังจากผ่านมาร้อยปี ในที่สุดก็มีวันนี้อีกครั้ง”
ผู้อาวุโสของนิกายโลกวิญญาณ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพราะนี่แสดงถึงการถือกำเนิดของยอดอัจฉริยะ ถ้าเขาสามารถเข้าสู่หอคอยชั้นที่ 6 ได้ นั่นยอมแปลว่าพวกเขาจะเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีการบ่มเพาะพลังระดับสูง แต่เขาย่อมต้องมีเทคนิคการบ่มเพาะพลังที่ดีเลิศอย่างแน่นอน
“พี่หลี่ ท่านคิดว่าใครสามารถเข้าสู่ชั้นที่ 6 ได้กัน จะเป็น กู๋โบ่ จากนิกายโลกวิญญาณ หรือ เจี่ยปู้ฟาน จากตระกูลเจี่ยของข้า”
“โฮ่ๆ…….ไม่ว่าจะเป็นใคร นั่นก็หมายความว่า ได้มีสุดยอดอัจฉริยะได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในเหล่าผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณแล้ว นี่เป็นเรื่องดีสำหรับอาณาจักรจิตวิญญาณ”
ผู้เฒ่า’หลี่’จากนิกายโลกวิญญาณยิ้มพร้อมทั้งกล่าวตอบ
“แน่นอน มันเป็นเรื่องดีสำหรับอาณาจักรจิตวิญญาณ แต่มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนิกายโลกวิญญาณของพี่ ที่พี่จะสามารถยิ้มออกมาได้”
“เจ้าหมายถึงอะไร !?”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนั้น สามผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“แน่นอนว่าคนที่สามารถขึ้นไปยังชั้นบนสุดได้นั้น ย่อมไม่ใช่กู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณ แต่เป็นเจี่ยปู้ฟานจากตระกูลของข้า”
เขากล่าวขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าออกมาด้วยความมั่นใจ
“อืม……..เจี่ยปู้ฟานเป็นคนที่จองหองอวดดี แต่ในด้านฝีมือก็ถือว่าไม่เลว แต่กู๋โบ่จากนิกายโลกวิญญาณของข้า ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนัก แล้วเจ้าจะสรุปได้อย่างไรว่าเป็นผู้ใด ?”
ผู้เฒ่า’หลี่’สูดหายเข้าด้วยความพอใจ
“ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน !? ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่เจี่ยปู้ฟานใช้สมบัติล้ำค่าของตระกูล เกราะหนามน่ะรึ !!”
ชายแก่ยิ้มและกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“อะไรนะ !! เจี่ยปู้ฟานใช้เกราะหนามอย่างนั้นรึ !?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนั้นเหล่าผู้อาวุโสจากนิกายโลกวิญญาณต่างประหลาดใจ พร้อมทั่งแสดงสีหน้าของความผิดหวังออกมาอย่างเด่นชัด
เกราะหนามคืออาวุธชั้นยอด มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดต่อกันมาของบรรพบุรุษตระกูลเจี่ย เนื่องจากเกราะหนามเป็นอาวุธชั้นยอด มันจึงมีความสามารถไม่สิ้นสุด มันอาจจะลดแรงกดดันวิญญาณที่ส่งมาถึงตัวเจี่ยปู้ฟาน ที่จะสามารถเข้าสู่ชั้น 6 ก็เป็นได้ แต่สำหรับนิกายโลกวิญญาณนั้น ไม่ได้มีอาวุธชั้นยอดเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สองอัจฉริยะที่กำลังถูกโต้เถียงถึงอยู่ว่า หนึ่งในนั้นคือบุคคลที่สามารถเข้าสู่ชั้นที่ 6 ได้ แต่กลับเป็น’ชูเฟิง’ที่สามารถขึ้นมาถึง ในขณะนั้น เขากำลังนั่งไขว้ขาพลางยิ้ม ขณะมองดูเมล็ดของผมจิตวิญญาณกำลังเปลี่ยนแปลง
เมล็ดของผลจิตวิญญาณนั้น ต้องได้รับแรงกดดันวิญญาณจึงจะเจริญเติบโต แม้มันจัเปลี่ยนแปลงไปบ้างในแต่ละชั้น แต่มันก็จำเป็นต้องเวลาอยู่มาก แต่ในขณะนี้สามเมล็ดในมือของ’ชูเฟิง’ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว มันแตกกิ่งก้านและแตกใบ พร้อมทั้งผลิดอกไม้ออกมาเบ่งบาน เหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะว่า ‘ชูเฟิง’ได้อยู่บนชั้นที่ 6 ของหอคอยอสูรฟ้านั่นเอง
ผู้แปล โดยคุณ#
เอ้าตีกันโลดดดดดดด. . . . . . . . ,
สนุกล่ะ งานนี้
ที่มา:

Martial God Asura ตอนที่ 195 – สุดยอดยุทธภัณฑ์

Martial God Asura ตอนที่ 195 – สุดยอดยุทธภัณฑ์

* โฮ่กกกก!!!! *
วินาทีนั้น ‘ชูเฟิง’ ชี้นิ้วของเขาออก รอบๆนั้นมีออร่ามหาศาลและทรงอนุภาพปกคุลมเท่านิ้วของ’ชูเฟิง’เสียงของสัตว์ปีศาจคำรามออกมาราวกับว่าจะบดขยี้โลกทั้งใบด้วยพลังที่น่ากลัวของมัน ออร่ามหาศาลแหวกอากาศกระจุยกระจาย ขณะที่มันพุ่งทะยานออกไป ก็มีลายขาวดำบนตัวพยัคฆ์ปรากฏขึ้น
” อย่าได้ใจไปหน่อยเลย “
‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ สะบัดดาบเยือกเย็นในมือของเขาสับออร่าที่พุ่งเข้ามา  เพื่อที่จะป้องกันการโจมตีของ ‘ชูเฟิง’ เขาจึงคิดจะใช้ดาบของเขาทำลายมัน
* เคร้งงงง *
ยังไงก็ตาม เมื่อพลังนั้นปะทะกับดาบเยือกเย็น ประกายไฟและไอเย็นกระจายทั่วอากาศ จนเกิดคลื่นเสียงดังก้องกังวาลภายในหู ดาบเยือกเย็น ของ’เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ หักออกเป็นสองท่อนสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น คือหลังจากที่ออร่านั้นทำลายดาบเยือกเย็น มันก็ยังคงพุ่งเข้าใส่ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ที่ยังเหลือเกราะป้องกัน
* ปังงงงงงงงง *
เสียงดังกระหึ่ม ซัด’เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ลอยขึ้นไปอย่างน่าอนาถ จนไปชนเข้ากับผนังของหอคอยอสูรฟ้า แรงปะทะของมันทำให้ชั้นที่ 4 ทั้งหมดสั่นสะเทือน แม้แต่คนที่อยู่ภายนอกของหอคอยยั่งเห็นได้ชัดว่ามันกำลังสั่นอยู่
” ท่านอาวุโสเกิดอะไรขึ้น !!! “
ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น คนจากตระกูลเจี่ย หรือ นิกายโลกวิญญาณ พวกเขาได้แต่เหวี่ยงสายตาไปที่ 6 อาวุโสการสั่นสะเทือนแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ทุกคนก็พอจับใจความได้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นภายในหอคอยอสูรฟ้า พวกเขาเพียงต้องการอยากรู้ ว่าอัจฉริยะของใครอยู่ภายในหอคอย
อีกทั้งเพื่อตรวจสอบว่าภายในนั่นมันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ที่พวกเขาทำได้ คือการรอคำสั่งจาก 6 อาวุโสแน่นอนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้แต่ 6 อาวุโสตัวแทนตระกูลเจี่ยและนิกายโลกวิญญาณก็ยังไม่รู้เช่นเดียวกันแต่เมื่อมองไฟสีฟ้าที่ปรากฏอยู่ชั้น 4 พวกเขาสามารถบอกได้ว่า มี 2 คนกำลังปะทะกัน
และหนึ่งในนั้น ทำให้หอคอยสั่นสะเทือน มันอาจจะเกิดขึ้นจากการต่อสู้ของทั้ง 2 คน แต่ก็ไม่ทราบว่าใครมีการโจมตีที่สามารถทำให้หอคอยอสูรฟ้าเขย่าได้ถึงขนาดนี้ ?
หลังจากคิดสักพัก ตัวแทนอาวุโสทั้งสองฝ่ายก็มองหน้ากัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกคำสั่งให้ตามไปดูเหตุการณ์ในหอคอย พวกเขาแค่ยกมือขึ้นมาเพื่อแสดงให้ผู้คนรอบๆเกิดความสงบบนชั้นที่ 4 ของหอคอยอสูรฟ้า
‘กู่ โบ๋’ ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นขณะที่นิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ยิ่งเมื่อเขาเห็น ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ที่ทรุดตัวงออยู่ข้างผนัง เขาก็ยิ่งตกใจเกราะป้องกันที่ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ใช้อำนาจพลังวิญญาณปกปิดเอาไว้ ตอนนี้มันกลายเป็นสีแดงเลือด ออร่าของมันดูเปลี่ยนไป
จนสามารถมองเห็นรูปร่างของเกราะที่ห่อหุ้มร่างของ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ได้อย่างชัดเจนแม้จะมีการป้องกันจากรูปแบบอำนาจฯและสุดยอดยุทธภัณฑ์ แต่เมื่อเจอกับ วิชา พยัคฆ์ฯสังหารของ’ชูเฟิง’ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ จึงไม่อาจต่อกรได้ใบหน้าของเขาซีดเผือดและออร่ารอบๆดูเบาบาง เลือดค่อยๆไหลออกมาจากมุมปาก อีกทั้งสายตาก็ยังเต็มไปด้วยความตกใจ และความหวาดกลัว เขาทำหน้าเหม่อลอยมอง’ชูเฟิง’อย่างว่างเปล่า และกล่าว
” เจ้าเป็นใครกันแน่ ? “
” ข้าเป็นคน ที่จะทำให้การสอบของเจ้าสุดสิ้น !!! “
‘ชูเฟิง’ยิ้มเบาๆ ขณะที่ค่อยๆก้าวไปหา ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’แม้ว่าวิชา พยัคฆ์ฯสังหาร จะไม่สามารถทำลายสุดยอดยุทธภัณฑ์บนร่างของ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ได้ แต่มันก็ทำให้ร่างกายเขาได้รับผลกระทบ จนบาดเจ็บ
ตราบใดที่ ‘ชูเฟิง’ ยังใช้การโจมตีนี้ เขาก็สามารถปลิดชีวิตน้อยๆของ ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ได้ไม่ยาก
” เจ้าคิดจะทำอะไร ? หากเจ้ากล้าฆ่าข้า ตระกูลเจี่ย จะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ และพี่ชายของข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า เจ้าจะไม่ตายดี !!! “
‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ ผวาด้วยความหวาดกลัว เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาร้ายกาจเกินไป เขาแสดงความสามารถและวิธีการที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยเฉพาะการโจมตีก่อนหน้านี้ แม้แต่สมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูล เจี่ย สุดยอดศาสตราวุธและยอดยุทธภัณ์ อย่างเกราะหนาม ก็ยังไม่สามารถปกป้องเขาได้ความเจ็บปวดตามร่างกายของเขาบอกว่า
อย่าโดนการโจมตีแบบนั้นเข้าไปอีกทีไม่งั้นมึงได้ตายแน่ เขากลัวจริงๆว่าเกราะหนามจะไม่อาจปกป้องเขาได้ และเขาจะตายไปทั้งๆแบบนี้
” หากข้าปล่อยเจ้าไป  ตระกูลเจี่ยของเจ้าก็จะปล่อยข้าไปบ้างไม๊ล่ะ ? “
‘ชูเฟิง’ ยังคงก้าวไปด้านหน้า
” น้องชาย ชูเฟิง ไว้ชีวิตเขาเถอะ!!! “
ในตอนนั่น ‘กู๋ โบ๋’ ก็พูดขึ้นมา ดูจากสีหน้าและแววตาของเขา วิตกอย่างมาก หากฆ่าเขาจริงๆเรื่องอาจไม่จบง่ายๆ ‘ชูเฟิง’ ก็พอรู้อยู่แล้วว่าเป็นอาจจะมีปัญหาตามมา เมื่อมีคนกระตุ้น เขาจึงหยุดคิดที่จะโจมตี จากนั้นเขาก็ชี้หน้า ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ และกล่าว
” เจ้าจงอยู่ที่ชั้น 4 ไป!!! หากเจ้ายังกล้าตามข้าขึ้นมาที่ชั้น 5 ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่ “
หลังจากที่พูดคำนั้น จบ ‘ชูเฟิง’ ก็เดินขึ้นไปที่ชั้น 5 พร้อมกับ ‘กู่ โบ๋’ ส่วน ‘เจี่ย ปู๋ฟ้าน’ เขาไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของ’ชูเฟิง’ หลังจากที่ได้พบความวิกลจริตของ’ชูเฟิง’ เขาก็รู้ทันทีว่า ‘ชูเฟิง’ มันบ้า
เมื่ออยู่ภายในหอคอยอสููรฟ้ากับคนบ้าเขาจึงจำเป็นต้องระวังตัวมากยิ่งขึ้น หากขืนไปยุ่งมากๆมีหวัง คงจบแบบศพไม่สวยอำนาจพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งของ ‘ชูเฟิง’ อีกทั้งร่างกายที่พิเศษออกไป แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงแรงดันวิญญาณมหาศาลของหอคอยอสูรฟ้า แต่เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบจากมัน จึงทำให้เขาเดินได้อย่างปกติ
แต่สำหรับ ‘กู่ โบ๋’ ไม่ได้ง่ายแบบนั้น แรงดันวิญญาณชั้น 4 ไม่สามารถหยุดเขาไว้ได้ก็จริง ก่อนที่ถึงชั้น 5 ที่เป็นเป้าหมายของเขา เขาจำเป็นต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างมากขณะที่พวกเขาเดินผ่านทางเดินหลายขั้น มันมีอุปสรรคอยู่น้อยมาก พวกเขาไปชั้นที่ 4 ยังยากกว่านี้อีก
แต่ยังไง ‘ชูเฟิง’ และ ‘กู่ โบ๋’ ก็ต้องเดินต่อไป
”  น้อง ชูเฟิงท่านทำยังไง ถึงสามารถทำให้ยอดยุทธภัณฑ์คืนรูปร่างเดิมของมัน “
‘กู่ โบ๋’ ซอกแซกถาม เขาไม่สามารถลืมภาพ ที่ ‘ชูเฟิง’ แสดงก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งเป็นการโจมตีที่สามารถปลิดชีพคนได้ง่ายๆ
” ข้าก็ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง หรือข้าอาจก็ทำได้โดยบังเบิญ “
‘ชูเฟิง’ ยิ้มเบาๆ ถึงแม้ว่า’กู่ โบ๋’ เป็นคนนิสัยดีและน่าประทับใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่คุ้นเคย เป็นธรรมดาที่ ‘ชูเฟิง’ จะไม่บอกความลับของวิช พยัคฆ์ฯสังหาร เพราะทักษะเร้นลับมันสามารถถูกดึงไปจากร่างกายได้หากเขาถูกฆ๋า
” เออใช่ ที่ท่านบอกว่า เจี่ย ปู๋ฟ้าน มียอดยุทธภัณฑ์บนร่างกาย อะไรคือสุดยอดยุทธภัณ์ “
‘ชูเฟิง’ถาม
” น้องชูเฟิง เจ้าไม่รู้ว่าสุดยอดยุทธภัณฑ์คืออะไรงั้นหรอ ? “
หลังจากได้ยินที่ ‘ชูเฟิง’ ถาม ‘กู่ โบ๋’ แปลกใจนิดหน่อย
‘ชูเฟิง’ ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า สุดยอดยุทธภัณฑ์ คืออะไร แต่ดูจากสีหน้าของ ‘กู่ โบ๋’ แล้วเขาค่อนข้างที่จะประทับใจทีเดียว
” สุดยอดยุทธภัณฑ์เป็นสมบัติล้ำค่าและพวกมันยังเข้ากันกับผู้เชื่อมต่อโลกวิญญาณ เพราะมีการก่อตัวอำนาจวิญญาณที่มีประสิทธิภาพหากใครได้รับพวกมัน เขาจะสามารถแสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาอย่างไม่สิ้นสุด “
” มันเป็นชนิดของอำนาจพลังวิญญาณจึงไม่สามารถนำไปเปรียบกับทักษะการต่อสู้ได้ หากใครที่เข้าจุดสูงสุดอาณาจักรแก่นแท้วิญญาณและใช้พลังของสุดยอดยุทธภัณฑ์ แม้แต่ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณสวรรค์ยังต้องหลีกเลี่ยงการปะทะ “
‘กู่ โบ๋’ กล่าว
สุดยอดยุทธภัณฑ์ คงเหมือนสุดยอดศาสตราวุธเครื่องป้องกัน
ที่มา: